6126. หลวงปู่ดูลย์ สอนวิธีไล่ผี

“สมัยหลวงปู่ดูลย์ยังคงแข็งแรง (คิดว่าประมาณอายุสัก 50-60 ปี) หลวงปู่ได้พาพระหนุ่มๆ สองรูปออกเดินธุดงค์ ในการเดินธุดงค์ครั้งก็เพื่อพาพระหนุ่มไปหาประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรม เดินมาถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านมาก คือในละแวกใกล้เคียงที่ปักกลดนี้จะไม่มีบ้านคนหรือหมู่บ้านอยู่เลย

เมื่อมาได้ที่เหมาะแก่การปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ทั้งสามรูปก็ได้ทำการจัดแจงที่พักอาศัย ซึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทิศต่าง ๆ จะไม่พยายามปักกลดใกล้กัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพระป่าผู้แสวงหาโมกขธรรม จะลดความคลุกคลี นอกจากจะมีกิจที่จะต้องทำร่วมกัน

การปฏิบัติก็เป็นไปตามปกติ แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ไปด้วยกัน ได้นำเรื่องราวที่ตัวเองได้พบในขณะที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ให้หลวงปู่ฟัง ว่า

“เมื่อกระผมนั่งสมาธิอยู่นั้น จิตได้สงบนิ่ง ในขณะนั้นก็เกิดภาพผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วกล่าวกับผมว่า ในอดีตชาติที่แล้วนั้น ดิฉันกับท่านนั้นเป็นสามีภรรยากันมาก่อน และชาติเราทั้งสองก็ได้มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ก็จะขอท่านได้ลาสิขาแล้วมาอยู่ร่วมกันดังในชาติที่แล้วเถิด และผู้หญิงนั้นก็เล่าต่อไปว่า

เมื่อชาติที่แล้วเราทั้งสองได้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ปักกรดนี้ และเมื่อเราทั้งสองได้ตายไป ก็ได้ฝั่งศพทั้งสองไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อก็สามารถไปพิสูจน์ได้ แล้วผู้หญิงนั้นก็จากไป” (ลืมบอกไปว่าในขณะที่พระรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้น เป็นเวลากลางคืน)

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ได้ฟังเรื่องราวที่พระหนุ่มรูปนั้นเล่าให้ฟังแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้กล่าวหรือสอนอะไร คือรับฟังเฉยๆ
พอคืนที่สอง เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพระหนุ่มรูปนั้นอีก ตอนเช้าก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ดังต่อไปนี้ ………..

“ผู้หญิงคนเดิมที่มาในคืนแรก ก็มาอีก และก็สาธยายเรื่องราวในอดีตชาติที่แล้วให้ฟังเดิม เพื่อจะต้องการให้พระหนุ่มรูปนั้นใจอ่อนลาสิกขาออกไปครองเป็นสามีภรรยาให้ได้ ในขณะที่เล่าก็ร้องสะอึกสะอื้นไป ก่อนกลับผู้หญิงนั้นก็บอกเพิ่มเติมว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีหนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเองไปเป็นภรรยา

ขอให้ท่านรีบพิจารณา เพื่อจะได้ไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้นเสีย ถ้าท่านไม่ลาสิกขา ดิฉันก็จะไม่ยอมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเด็ดขาด จะขอยอมตายโดยจะฆ่าตัวตายเสีย พูดจบผู้หญิงนั้นก็จากไปพร้อมกับน้ำตา และทิ้งความลังเลสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นให้ขบคิดว่าตัวเองกับเผชิญอยู่กับอะไร ! และจะทำอะไรต่อไป ?”

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ฟังจบ …วันนี้ท่านอดสงสารลูกศิษย์ไม่ไหว ก็เลยแนะนำวิธีการให้พระหนุ่มนั้นนำไปปฏิบัติ..โดยวิธีการดังนี้

“ฟังนะ…ท่านไปหาถ่านฝืนมาสักก้อนหนึ่ง (ถ่านหุงต้ม) แล้วป่นให้ละเอียด และคืนนี้เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาอีก ท่านตั้งสติให้ดี ให้ถอยออกจากฌานในระดับที่ละเอียด (ซึ่งในขณะที่พระหนุ่มรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้นจะอยู่ในภาวะของฌานที่ละเอียด) ให้ลดมาอยู่ในระดับที่สามารถเคลื่อนไหวกายได้ (ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องฌานได้ จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องฌานให้ฟังโดยละเอียดได้ครับ) เมื่อผู้หญิงนั้นมา ก็ให้ท่านใช้นิ้วแตะที่ถ่านที่เตรียมไว้ และลุกขึ้นไปป้ายที่หน้าผากของผู้หญิงคนนั้น”
หลวงปู่ก็เมตตาแนะนำพระหนุ่มรูปนั้นแต่เพียงเท่านี้

คืนที่สาม

ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมาข้างหาพระหนุ่มรูปนั้น พร้อมกับน้ำตา แล้วก็พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้แล้วที่หนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเอง กับพ่อแม่ ก็ขอให้ท่านรีบตัดสินใจลาสิกขา และรีบไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้น ถ้าท่านไม่ลาสิกขาดิฉันเองก็จะไม่ย่อมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเหมือนกัน จะขอยอมตายจะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากท่านเท่านั้น (รักแท้ หายาก)

พระหนุ่มรูปนั้นเมื่อเห็นว่าผู้หญิงนั้นมาอีก ก็ตั้งสติและปฏิบัติตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ คือถอยจากฌานที่ละเอียดมาอยู่ในระดับที่เคลื่อนไหวกายกาย แต่อยู่ในฌานอยู่ แล้วใช้นิ้วแตะที่ถ่าน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปที่ผู้หญิงคนนั้น พอถึงตรงหน้า ท่านก็ทำตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ ก็คือเอานิ้วที่แตะถ่านนั้นป้ายที่หน้าผากผู้หญิงคนนั้น

หลังจากที่ป้ายเสร็จทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องกรีดดังลั่นป่า แล้วก็วิ่งหายไปในป่า สร้างความตกตะลึงให้พระหนุ่มรูปนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง และผู้หญิงคนนั้น ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องกรีด และวิ่งหนีหายไปในป่าด้วย !?”

ทุกท่านที่อ่านอยู่ คิดสงสัยเหมือนอย่างที่พระหนุ่มรูปนั้น หรือไม่ครับ ?

ตอนเช้าพระหนุ่มรูปนั้นก็ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟัง ดังที่เคยกระทำมาแล้วในสองวันที่ผ่านมา เมื่อพระหนุ่มเล่าเรื่องราวจบ หลวงปู่ก็ยังคงเฉย ๆ เมื่อกับว่าท่านได้รับรู้เรื่องราวและทราบเรื่องราวนั้นอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่พระหนุ่มนั้นเล่า เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเล่าจบ หลวงปู่ก็หยิบฝาบาตร ส่องไปที่หน้าพระหนุ่มรูปนั้น แล้วบอกให้พระหนุ่มนั้นมองไปที่หน้าตัวเองที่อยู่ในฝาบาตร เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นมองไปฝาบาตร ก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นขึ้นอีก เพราะว่าที่หน้าผากของตัวเองนั้น มีรอยถ่านดำติดอยู่ในหน้าผาก ดังที่ตัวเองนำไปป้ายกับผู้หญิงคนนั้น ในคืนที่ผ่านมา แล้วทำไม่รอยถ่านนั้นจึงมาอยู่ในหน้าผากเราได้อย่างไร ?

ทุกท่านก็คงยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกหรือเปล่ามั้ยครับ ว่าทำไม่รอยถ่านดำจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้น ?
ผู้หญิงนั้นคือใคร ?

ทำไมรอยถ่านจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้นได้อย่างไร ? ………..

ขอย้อนไปวันที่สองนิดหนึ่งครับ หลังจากคือที่สองนั้น พระหนุ่มรูปนั้นก็รู้สึกว่ามีจิตใจเอียงเอนอ่อนไปกับคำของหญิงสาวชาวป่าคนนั้น ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย คิดจะลาสิกขาและไปสู่ขอหญิงสาวนั้นแต่งงาน แต่หลวงปู่ท่านรู้ทันอาการทั้งหมดแต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่แนะนำวิธีการดังที่กล่าวไปแล้ว เท่านั้น

ที่จริงแล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านรู้ความเป็นไปของศิษย์ผู้นี้ตลอด ตั้งแต่คืนแรก ถึงคืนที่สาม แต่หลวงปู่ท่านต้องการสอนพระหนุ่มรูปนั้น จึงปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงคืนที่สาม

ตอนเช้าเมื่อพระหนุ่มรูปนั้นนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้ฟัง หลวงปู่ท่านก็หยิบฝาบาตรมาส่องไปที่หน้าของพระหนุ่มรูป เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเห็นหน้าผากตัวเองมีรอยถ่านดำ ดังที่เคยป้ายแก่หญิงสาวชาวป่าในเมื่อคืน ก็ยิ่งสร้างตกตะลึงและสงสัยเป็นอันมาก เมื่อหลวงปู่ดูลย์เห็นว่าพระหนุ่มนั้นตกตะลึงสงสัย จึงได้เล่าเรื่องราวที่เป็นจริงให้ศิษย์ฟัง ผมขออธิบายเป็นการขยายให้ฟังก็แล้วกันครับ

“ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของจริง ผู้หญิงที่ท่านเห็นทั้งสามคืนนั้นก็ไม่มีจริง เพราะป่าที่มาปักกลดแห่งนี้เป็นป่าที่ลึกแห่งไกลจากหมู่บ้านมาก ฉะนั้นในละแวกใกล้เคียงนี้ไม่จึงไม่มีบ้านคน (ที่หลวงปู่ทราบว่าไม่มีบ้านคน เพราะหลวงปู่ท่านเคยเดินธุดงค์และปักกลดที่นี่มาแล้ว) สิ่งที่ท่านเห็นเกิดจากจิตของท่านเอง ที่สร้างขึ้นมาหลอก ”

แล้วท่านก็สอนให้พระหนุ่มรูปนั้นเกี่ยวกับจิตของคนเรา (ซึ่งตรงนี้หลวงปู่สอนว่าอย่างไรบ้างนั้น ผมก็จำไม่ได้แล้ว เพราะจำจากครูบาอาจารย์มาอีกทีหนึ่ง)
……..
ส่วนต่อไปนี้เป็นเพิ่มเติมความคิดของผมเองครับ

บางท่านเมื่อได้อ่านเรื่องของพระหนุ่ม กับหญิงสาวชาวป่า แล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเป็นผู้หญิงนั้นเป็นจริง ๆ บ้าง เป็นผี หรือวิญญาณบ้าง แต่มีน้อยคนที่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนของจิตใจของพระหนุ่มรูปนั้น ที่ปรุงแต่งสร้างรูปขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ และก็หลงไปกับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา ที่เห็นว่าเหมือนจริงทุกอย่างนั้น เพราะว่าเห็นในขณะเข้าฌาน ซึ่งในขณะจิตจะละเอียด จนสามารถสร้างสิ่งระเอียดและเหมือนจริงได้ ซึ่งจุดนี้ถ้าใครเคยสังเกตตัวเองเวลาที่กำลังนั่งสมาธิ แล้วเกิดนึกหน้าใครสักคนหนึ่งที่เรารู้จัก เราจะเห็นหน้าคนตาคนนั้นอย่างชัดเจนมาก

แต่ถ้าเรานั่งธรรมดา ๆ แล้วลองนึกภาพใครสักคนหนึ่ง ภาพก็เลือนลางลง จะไม่ชัดเหมือนตอนนั่งสมาธิ และเมื่อเราลืมตาอยู่ ลองนึกหน้าใครสักคนหนึ่ง ภาพที่เห็นต่อหน้าก็เลือนลางเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ซึ่งจุดเราสามารถเปรียบเทียบกับคนที่นั่งสมาธิจนเข้าฌาน ว่าภาพที่เห็นในขณะเข้าฌานนั้นชัดเจนอย่างอะไร ก็คิดว่าเหมือนมองด้วยตาเปล่าทำนองนั้นละครับ

สิ่งต่อมาก็คือภาพที่พระหนุ่มนั้นเห็น ผู้หญิงที่พระหนุ่มรูปนั้นเห็นนั้น ไม่ใช่ภาพที่เกิดจากความตั้งใจนึกขึ้น แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นมาลอย จนตัวผู้เห็นก็ไม่ทราบว่าเกิดจากจิตภายในตัวเอง จนหลงเชื่อว่าเป็นจริง ถ้าเกิดเป็นผม ๆ ก็เชื่อว่าเป็นจริงเหมือนกันครับ เพราะเห็นชัด และผู้หญิงคนนั้นก็อ้างอิงเรื่องราวในอดีตชนิดที่เราเองต้องเชื่อครับ เช่นให้ไปดูกระดูกที่ฝั่งไว้ใต้ไม้ อันเป็นหลักฐานว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง

ภาพผู้หญิงคนนั้นผมว่าน่าจะเกิดจากจิตใจใต้สำนึก ทุกท่านก็คงเข้าใจว่าจิตใต้สำนึกนั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นภาพผู้หญิง นั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม่จึงเกิดขึ้นมาได้ รู้แต่ว่าเกิดจากจิต และจิตใต้สำนึก แต่ทำไมจึงเป็นภาพผู้หญิง ตรงนี้ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้เล่า เพราะท่านต้องการเน้นให้เห็นถึงความพิสดารและอัศจรรย์ของจิตของคนเรามากกว่า ให้รู้จิตของคนเรานั้นมันมีอะไรให้ศึกษาและค้นคว้าอีกมาก ยังมีอะไรสลับสับซ่อนอีกมาก จนเราเองผู้เป็นเจ้าของยังรู้จิตของเราไม่หมดเลย

ตรงนี้ก็อย่าถือว่าเราเป็นเจ้าของจิต และจิตเป็นเรา จิตเป็นของเรา เพราะว่าถ้าเราเป็นเจ้าของ เราก็ต้องรู้จิตใจของเราดีทั้งหมด แต่นี้ไม่ เรายังไม่เข้าใจจิตของเราเองดีพอ บ้างครั้งเราจะสับสนกับจิตใจของเรา ว่าทำไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เราเองก็ไม่อยากจะเป็น แต่พอเราอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างที่เราคิด นี่แหละครับ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าจิตใจเป็นของเรา หรือจิตใจคือเรา แล้วทำไมจิตไม่เป็นไปตามที่เราคิดล่ะ ?
ท่านมีความสงสัยอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ?

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : theshock-thailand
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: