1158. อิทธิฤทธิ์ สามเณรบุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน ตอนที่ 1 (มีทั้งหมด 4 ตอน)

ประวัติสามเณรบุญนาคนี้ เป็นหนังสือเก่าแก่ที่เคยอ่านมานานแล้ว เป็นเรื่องราวที่ท่านเจ้าของเรื่องเขียนเล่าเอง
จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือและก่อให้เกิดศรัทธาปสาธะ ในด้านการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างดี เพราะสมัยก่อนบ้านเมืองยังไม่เจริญ มีแต่ป่าและเขาเป็นส่วนใหญ่
จึงเหมาะที่จะเดินธุดงค์เป็นอย่างยิ่ง เราเคยอ่าน “หลวงพ่อธุดงค์” กันมาแล้ว ลองอ่านพระธุดงค์สายอีสานกันบ้าง แต่ต้องติดตามไปเรื่อยๆ
จะทะยอยลงไปทีละตอนครับ

หมายเหตุ : หนังสือประวัติ “สามเณรบุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน” ลิขสิทธิ์เป็นของ พระครูสมุห์พิชิตฐิตวีโร ผู้จัดพิมพ์ และหลวงพี่เก่ง แห่งสำนักเวฬุวัน เป็นผู้พิมพ์ดีด คุณกิตติเป็นผู้โพส ถ้าใครจะคัดลอกหรือนำออกไปภายนอกเว็บนี้จะต้องได้รับอนุญาตก่อนนะครับ

คำนำ
“หนังสือประวัติ สามเณรบุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน” ลงวันที่ ๑๖ เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ำ วันจันทร์ พ.ศ. ๒๔๘๐ เผอิญมีพระเดชพระคุณ
ท่านเจ้าจอมมารดาทับทิม ที่วังกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พร้อมด้วยคุณนายอั๋นและโยมเข็ม ขอประวัติการณ์ความเป็นมาแล้วของอาตมภาพ ในเวลาหนึ่งโมงเช้า (๗
นาฬิกา) ก่อนรับบิณฑบาต อยู่ ณ ที่ตำหนักในวังนั้น

(เจ้าจอมมารดาทับทิม เป็นพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ ถึงอสัญกรรม พ.ศ. ๒๔๘๑ อายุได้ ๘๒ ปี คือหลังจากให้พระอาจารย์นาคเขียนเล่าประวัติเพียง ๑
ปีเท่านั้น)

เห็นบุพพนิมิต
ก่อนพระเดชพระคุณจะบัญชาให้เขียนประวัติความเป็นมาของอาตมภาพ ในเวลา ๙ ทุ่ม (ตี ๓) นั้น อาตมภาพกลับมาจากเดินจงกรมในลานพระเจดีย์แล้ว
เข้ามาที่นั่งสมาธิในห้อง ได้รับบุพพนิมิตเห็นบุรุษแก่คนหนึ่งมาประกาศชื่อของตนว่า “โยมนี้มีชื่อว่า อะสะ กรรมบุรุษ” แล้วตระเตรียมกระแทะ (เกวียน)
เทียมโค แล้วว่า “นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นนั่ง”

ครั้นเมื่ออาตมภาพนั่งเสร็จแล้ว ปรากฏว่า ณ ที่ทั้งปวงเกิด เป็นห้วงน้ำทั้งหมด บุรุษนั้นก็ขับกระแทะเทียมโคพาข้ามน้ำนั้นไป พอพ้นฝั่ง
บุรุษแก่คนนั้นแสดงตนเป็นผู้มีฤทธิ์เกิดแสงสว่างรอบตัว แล้วสั่งอาตมภาพว่า “จงระวังกิจที่จะทำในวันต่อไป กลัวจะเป็นภัยแก่ท่าน”

พอรุ่งเช้ามาเป็นเวลาย่ำรุ่ง ๓๐ นาที ก็ออกบิณฑบาต ครั้นไปถึงตำหนักที่พักของพระเดชพระคุณเป็นเวลาหนึ่งโมงเช้า พอนั่งลงประมาณสัก ๕ นาที
พระเดชพระคุณท่านก็บัญชาขอให้เขียนประวัติความเป็นมาของอาตมภาพตั้งแต่ยังรุ่นเยาว์ ครั้งแต่เป็นสามเณรเล็ก ๆ จนกระทั่งออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐานมาจนบัดนี้

ประวัติความเป็นมาของอาตมภาพ มีคนขอ ๒ ครั้งมาแล้ว แต่ยังมิได้เขียนให้สักคน ครั้งที่ ๑ ขุนอาจ กำนันตำบลฟ้าหยาด ครั้งที่ ๒
ขุนประเทืองอุปราช เจ้าเมืองคำทอง แขวงดินแดนฝรั่งเศส ก็มิได้เขียนให้ บัดนี้เป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งพระเดชพระคุณบัญชาขอประวัติ ความเป็นมาแห่งอาตมภาพ
อาตมภาพจำต้องลิขิตเขียนเรียนมา เพื่อพระเดชพระคุณทราบ ตั้งแต่ต้นจนอวสานในประวัติการณ์แห่งอาตมภาพ ดังรายละเอียดเรียนมาในสมุดเล่มนี้

เริ่มประวัติตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

อยากห่มผ้าเหลือง
อาตมภาพเป็นบุตรคนสุดท้องของบิดา มารดา เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ พอดีวันนั้นเป็นเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ มารดาพาไปทำบุญวันเกิดของอาตมภาพที่วัด
เผอิญหนาวจัด มองเห็นท่านพระครูปานห่มจีวรผืนใหญ่ เข้าใจว่าจะอุ่น ก็ร้องเรียกให้มารดา ขอให้มารดาบอกว่า “ยังไม่บวช เอามาห่มไม่ได้ กลัวบาป”

อาตมภาพมองขึ้นไปข้างบน เห็นพระพุทธรูปที่พิมพ์ใส่แผ่นกระดาษเรียงลำดับ ๑๒ องค์ ซึ่งพระท่านติดไว้บนหัวนอน ถามมารดาว่า “นั้นอะไร” มารดาบอกว่า
“นั้นรูปพระเจ้า (พระพุทธเจ้า)” อาตมภาพก็นึกรักใคร่เลื่อมใสในพระพุทธรูปนั้น บอกมารดาขอให้ มารดาไม่ขอ ก็ร้องไห้ขึ้นในทันใดไม่หยุด
ตกลงสมภารวัดได้เอามาให้แล้ว ก็นำไปไว้ที่บ้าน

วันหลังถามมารดาว่า “แม่ เวลานี้พระเจ้าอยู่ไหน” แม่บอกว่า “พระเจ้าไปนิพพานแล้ว” จึงขอให้แม่พาไปนิพพานที่พระเจ้าอยู่ แม่บอกว่า “ไปไม่ได้
นิพพานอยู่เมืองฟ้า” ต่อมาวันหลังเห็นพระเดินเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับกันมาหลายองค์ คล้ายกับรูปที่ติดอยู่บนหัวนอน นึกว่าเป็นพระเจ้าจึงร้องบอกมารดาว่า
“แม่ นั่นพระเจ้ามาหน้าบ้านเรา” มารดาโผล่ออกมาดูเห็นพระไปเที่ยวบิณฑบาต มารดาจึงร้องนิมนต์พระว่า “นิมนต์ก่อนค่ะ” พระก็ยืนเป็นแถวเรียงลำดับกันอยู่
ก็นึกเลื่อมใสมาก

อยากไปอยู่วัด
ครั้นมารดากลับมาจากใส่บาตรจึงถามว่า “แม่ พระมาจากไหน” มารดาบอกว่า “พระมาจากวัด” ถามอีกว่า “พระมาจากไหนไปอยู่วัด” มารดาบอกว่า
“ไปจากบ้านไปบวชอยู่ที่วัด” เมื่อทราบว่าพระไปจากบ้านไปบวชอยู่ที่วัด อาตมภาพก็ขอให้มารดาพาไปบวช มารดาบอกว่า “ยังเล็กบวชไม่ได้”
ก็อ้อนวอนขอให้มารดาพาไปฝากไว้วัด มารดาก็ห้ามเป็นครั้งที่ ๒ ว่ายัง เล็กเกินไป ก็ขอไปไม่หยุด ต่อมามารดาไม่พูดด้วยก็ร้องไห้ ว่าอยากไปอยู่วัด
ทั้งบ่นทั้งร้องไห้แต่เช้าจนเที่ยง จนไม่กินข้าวสาย (กลางวัน) เพราะเสียใจกลัวมารดาจะไม่ไปฝากที่วัด

ตกลงมารดาก็พาไปวัด เผดียงต่อสมภารว่า “ไอ้หนูร้องไห้ อยากมาอยู่วัด ไม่รู้จะทำอย่างไร” สมภารก็เรียกไปถาม อาตมภาพตอบว่า “อยากบวช”
ท่านจึงถามอีกว่า “อยู่กับเราไปก่อนไหม โตจึงบวช” จึงตอบท่านว่า “อยู่” มารดาก็มอบให้อยู่กับพระแต่ วันนั้นเป็นต้นมา

อยู่กับพระไป ๒ เดือน บิดากลับมาจากขายกระบือ ไม่เห็นก็ถามหา มารดาบอกว่า “แกไปอยู่วัด” บิดาก็ออกไปที่วัดถามว่า “แกอยากเข้าไปนอนบ้านไหม”
จึงบอกกับพ่อว่า “ไม่อยากไป” พ่อก็มอบให้พระเป็นครั้งที่ ๒

เป็นศิษย์วัดก่อน
ครั้นจวนเข้าพรรษา อาจารย์ก็พาไปจำพรรษาที่วัดป่า อำเภอ ยโสธร ไกลจากบ้านเดิมประมาณ ๓ พันเส้น คนเดิน ๓ คืนจึงจะถึง ขณะขี่เกวียนไปตามทาง อาจารย์บอกว่า
“อีก ๓ ปีจึงจะให้บวช ไปอยู่ในเมือง เรียนหนังสือกับเขาก่อน” จากนั้นมาก็นึกดีใจมาก เพราะอาจารย์กำหนดการจะบวชให้ในระหว่าง ๓ ปี
แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นปีเป็นเดือน ตื่นเช้ามาก็ถามอาจารย์ทุกวัน ว่าถึง ๓ ปีหรือยัง อาจารย์ก็หัวเราะทุกวัน นานเข้าท่านรำคาญ ท่านบอกว่า “ถ้าถึง ๓ ปี
จะบอกให้ดอกนะ และจะบวชให้ด้วย ต่อไปนี้อย่าถามอีกนะ จงเรียนหนังสือให้มากๆ จึงค่อยบวช” แต่นั้นมาอาตมภาพก็ตั้งใจเรียนหนังสือในสำนักอาจารย์ต่อไป

จนอายุได้แปดขวบ พอดีตรงกับเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ กลางคืนวันนั้นฝันเห็นพระเจ้าพร้อมทั้งรัศมี สว่างไสว ตื่นนอนขึ้นมารู้สึกคิดถึงมาก จึงกราบพระสวดมนต์
แล้วก็ปรารถนาเป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง แต่นั้นไปทุก ๆ วันก็ตั้งใจเก็บดอกไม้บูชาแล้ว ปรารถนาเป็นพระเจ้า


บวชเป็นสามเณร

จนอายุ ๙ ขวบ อาจารย์ก็บวชให้เป็นสามเณร พอบวชแล้วก็เรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์ต่อไปอีกเป็น เวลา ๖ ปี พอดีอายุครบ ๑๔ ขวบเต็ม ๑๕ ปีย่าง
เผอิญพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งชักชวนไปทำปาณาติบาตฆ่าแย้ ๑ ตัว พอกลับมาถึงวัด

ค่ำลงสวดมนต์ไหว้พระ แล้วประมาณ ๔ ทุ่มก็จำวัด แล้วนิมิตฝันเห็นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๒๓ องค์ นั่งประชุมอยู่ร่มไม้หว้าชมพู
และท่านแสดงธรรมว่า “คนจะเป็นสมณะเพราะศีรษะโล้นก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะผ้าเหลืองก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะไม่มีภรรยาก็หามิได้
จะเป็นสมณะเพราะเรียนรู้มากก็หามิได้ ผู้เที่ยวไปไม่มีอะไรในชีวิต และถึงพร้อมด้วยความเป็นอยู่ และที่อาศัยเช่นนี้จึงได้นามว่าเป็นสมณะ”

ขณะที่ฝันนั้นปรากฏว่าแดดร้อนจัด อาตมภาพก็เข้าไปอาศัยอยู่ในร่มนั้น ๆ เย็นดี แล้วท่านเอาน้ำให้ฉัน น้ำนั้นเมื่อฉันเข้าไปแสบขึ้นสมอง
คล้ายกลิ่นสุราและแสบจมูกมาก เลยตื่นขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลา ๗ ทุ่ม (ตีหนึ่ง) เงียบสงัดและเดือนหงายแจ้งสว่าง
มองไปเห็นเพื่อนบรรพชิตทั้งพระและสามเณรนอนเกลื่อนกรน อยู่ที่ระเบียงเล็กข้างนอกกุฏิ เพราะฤดูนั้นเป็นฤดูร้อน เป็นเดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ
จากนั้นอาตมภาพจึงลงจากระเบียงกุฏิเล็ก ไปนั่งอยู่ที่ร่มมะม่วง หวนนึกถึงความฝันที่ปรากฏทั้ง ๔ ข้อ

แล้วนึกถึงมรรยาท และความเป็นอยู่ของพระสาวก และพระศาสดาว่า คงไม่ตลกคะนองคลาดเคลื่อนกันเช่นนี้ พอนึกแล้วก็ตกลงในใจว่า
เราจะต้องหลีกออกไปบำเพ็ญความสงบ และมีมรรยาทอย่างที่ปรากฏเห็นในนิมิตนี้ให้จงได้ นึกแล้วนึกเล่าจนนอนไม่หลับอีกในคืนนั้น

ลาอาจารย์ออกธุดงค์

“…….ในเมื่อถึงเวลาบวช
เมื่อบวชจริงๆ ท่านบวชที่ “วัดบางปลาหมอ” เพราะว่าเวลานั้น “วัดบางนมโค” เวลานั้นเดิมทีเป็นวัดร้าง

………พอรุ่งเช้าขึ้นมาฉันอาหารแล้ว ก็ลาพระอาจารย์ ท่านก็ไม่อนุญาต บอกพระอาจารย์ว่า “ผมตกลงใจ แล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ผมเห็นจะไม่อยู่”
ว่าแล้วก็ขอขมาโทษจากอาจารย์ วางขันดอกไม้ไว้ต่อหน้าท่าน แล้วก็หลีกไป

………วันแรกเดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ไปพักที่ป่าช้า บ้านหนองแสง ตอนค่ำลงนึกกลัวผี ได้พิจารณาว่า อะไรเป็นผี ได้ความว่า ใจเป็นผี เพราะร่างและกระดูกเขาเผา
และฝังหมดเสียแล้ว ตกลงว่าไม่จริง วัว, ควาย, หมู, ไก่ ก็มีใจทั้งนั้น ทำไมคนกินเนื้อมันได้ เช่น วัว ควาย ยิ่งตัวใหญ่ไม่กลัวผีมันหลอก
หรือทำไมกินเนื้อมันได้ ขนเอาเนื้อเอากระดูก มันไปเก็บไว้ที่บ้านทั้งกินเสียด้วย จนกระทั่ง ปู, ปลา ก็มีใจทั้งนั้น หากว่าใจสัตว์ที่ตายแล้ว
เป็นผีอยู่กับซากศพที่ฝังไว้แล้วนั้น เป็นผีหลอกคน ถ้าเช่นนั้นคนที่ฝัง ซากวัว ซากควายลงที่ท้องของตน ก็จะไม่เป็นอันอยู่อันนอน เพราะผีมันจะหลอก
เปล่าทั้งนั้น ไม่ปรากฏเลยว่า ค่ำมาคนนั้นคนนี้ถูกผีวัวควายหลอก หรือผีหมู ผีไก่หลอก ก็เปล่าทั้งนั้น

ตกลงว่า มนุษย์นี้หลอกกันทั้งนั้น สิ่งใดกินเนื้อมันเห็นว่าไม่ใช่ผี สิ่งใดไม่ได้กินเนื้อ เขาบอกว่ากลัวผีมันหลอกดังนี้
มนุษย์ที่ตายแล้วฝังอยู่ป่าช้าเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่ยังไม่อยากตาย ใจของมันไม่อยากตายอยู่แล้ว เพราะมันกลัวป่าช้า ตายแล้วที่ไหนมันจะมา
ถ้าใจของคนยังมีติดอยู่ที่กาย ทำไมมันจะตาย ใจคนหนีไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บ้านเรือน ขณะมันตายทีแรกนั้นมิใช่หรือ มันจึงตาย เมื่อพิจารณาเช่นนี้
ตั้งแต่วันนั้นมา ขึ้นชื่อว่าป่าช้า อยู่ได้ทุกแห่งไป ไม่ต้องกลัวผีอีก

ข้ามโขงสู่แคว้นลาว
เดินเที่ยวพักไปตามป่าช้าบ้านอื่นๆ ต่อไปได้ ๙ คืน ถึงฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแดนของฝรั่งเศสเป็นเวลา ๕ โมงเศษ ขอข้ามเรือกับแกว (คนญวน) คนหนึ่ง
พอข้ามไปถึงฝั่งนั้นมีหมู่บ้านเล็กตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ยังไม่มีวัด อยู่ใกล้ริมภูเขา ชื่อ บ้านแก้งกะอาก พอไปถึงหมู่บ้านนั้นมืดพอดี
ผู้ใหญ่บ้านเขานิมนต์ให้ขึ้นพักจำวัดที่เรือน เพราะกลัวช้างป่า เขาบอกว่ามันเข้ามารบกวนหมู่บ้านนั้นทุกวัน

เมื่อได้ยินเขาเล่าเช่นนั้น อาตมภาพก็ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ได้ความว่า บัดนี้เราเป็นบุตรของพระศาสดา เราจะเชื่อความเป็นพ่อของเราในข้อที่ว่า
อย่าลุอำนาจแก่ความกลัวซึ่งเป็นอคติข้อที่ ๔ หรือเราจะเชื่อความหลงที่เราเคยกลัวมาแต่ปุเรชาติ (ชาติปางก่อน)

ตกลงในใจว่าหากความกลัวมีประจำใจมาแล้ว ตั้งแต่วันเกิดทุกตัว สัตว์คงจะพากันทำแต่ดีเพราะความกลัว แล้วมนุษย์และสัตว์ทั้งโลกนี้ก็จะวิเศษกันไปหมดแล้ว
ตกลงว่าหัวใจสัตว์ทั้งโลกมีความกลัวนี่มาเป็นประจำสันดานอยู่ทุกตัวสัตว์ ตัวเราเองก็มัวแต่กลัวอยู่เช่นนี้ หัวใจเราก็จะแค่หัวใจสัตว์เท่านั้น
ไม่เห็นแปลกจากสันดานสัตว์

นึกแล้วก็ตั้งใจอดทนต่อความกลัว เดินผ่านบ้านนั้นไป คนในบ้านนั้นทักท้วงว่า พระกรรมฐานท่านไม่พักเรือนคน ขณะนั้นก็มีความกลัวอยู่อย่างระส่ำระสาย
แต่นึกถึงความอดทน คือ ขันติบารมี ว่าเป็นธรรมอันจะพึงบำเพ็ญส่วนหนึ่ง ตกลงว่าเวลานั้นจำเป็นจำไป เพราะอดทนต่อความกลัวต่อสัตว์ร้ายนั้น มิใช่ไปด้วย
ความหมดกลัว อย่างไม่กลัวผี

เผชิญหน้าช้างป่า
พอไปถึงที่แห่งหนึ่ง เป็นหนทางช้างเดินแถบชายภูเขา ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าที่นั้นเป็นทางช้าง เห็นแต่ว่าที่นี้เตียนดี เมื่อเราต้องการเดินจงกรม
ก็จะได้เดินตามแนวนี้ และที่นั้นมีต้นตะเคียนใหญ่ และมีเครือหวายเป็นพุ่มห้อยล้อมต้นตะเคียนดกหนา เป็นร่มดี อาตมภาพจึงตรึงกั้นมุ้งลง (ปักกลด)
เพื่อพักอาศัยในที่นั้นเสร็จแล้วก็นั่งสมาธิในที่นั้น

ต่อมาตอนดึกจวนรุ่งเวลา ๙ ทุ่ม (ตี ๓) เผอิญมีช้างเผือกใหญ่ตัวหนึ่งเป็นประธานในช้างทั้งหลาย เดินผ่านเชือกที่แขวนกลด
ทำให้ขาดตกลงแล้วได้ยินเสียงช้างกระดิกหูดังโปะๆ ก็นึกตกใจว่านี่เป็นเสียงอะไร เปิดมุ้งขึ้นดูเห็นช้างยืนใกล้กลดอยู่ ก็นึกตกใจจนหายใจไม่ออก
แน่นหน้าอกขึ้นมา ก็ค่อยคลานออกจากมุ้งเข้าไป อาศัยพุ่มหวายที่รกห้อมล้อมต้นตะเคียนอยู่ ไม่ช้า ช้างก็ฉวยเอามุ้งขึ้นพาดบนศีรษะของมัน
แล้วจับเหวี่ยงลงมาแล้วก็เอาเท้าขยี้ ทำดังนี้จนมุ้งและกลดแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ช้างยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันหน้าไปทางต้นตะเคียน
แล้วดึงเครือหวายตรงที่นั้นกินเป็นอาหาร ตกลงว่าเวลานั้นได้ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหวายใต้คางช้าง

อีกไม่นานหมู่ช้างก็เดินตามกันมาอีก ๒๑ ตัว มาทันช้างตัวที่กินหวายอยู่ก่อนนั้น ต่างตัวก็มายืนห้อมล้อมต้นตะเคียนดึงเครือหวายลงมากินเป็นอาหาร
อาตมภาพรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก เพราะความกลัวอยู่สักครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่า มาคราวนี้ เพื่อบำเพ็ญกิจของพระศาสนา
ฉะนั้นขออันตรายทั้งหลายจงพินาศฉิบหายไปด้วยอำนาจคุณพระรัตนตรัย

พออธิษฐานเสร็จแล้วก็เกิดคันตามลำคอ และแสบจมูกขึ้นมา ทนไม่ได้ก็ไอและกระแอมขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง ฝ่ายช้างทั้งหลายเหล่านั้นตื่นเสียงไอ
ก็พากันวิ่งแตกตื่นหนีไป ในขณะนั้นก็พอดีสว่าง ออกมามองหาบาตรและห่อผ้า เห็นไปอยู่ในเหวซึ่งช้างมันเหวี่ยงลงไป ก็ค่อย ๆ คลานลงไปที่เหว
เอาบาตรและผ้าขึ้นมาได้ แล้วก็ครองผ้าอุ้มบาตร เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น

นายดีผู้ใหญ่บ้านถามว่า “คุณพักที่ไหน ช้างไม่รบกวนคุณหรือ” อาตมภาพก็นิ่งอยู่ไม่พูดและไม่ ตอบกระไร แกก็แปลกใจบ่นว่า “พระเณรอะไร ถามไม่พูด”
แกก็ตามออกไปดูที่อยู่ เห็นรอยช้างมันขยี้กลดและมุ้งแหลกป่นปี้ แกจึงถามอีกเป็นครั้งที่สองว่า “เวลาช้างมันมาทำลายของท่านใต้เท้าไปอยู่ที่ไหน
ช้างจึงไม่ทำร้ายตัวของใต้เท้าด้วย” อาตมภาพก็นั่งฉันข้าวเรื่อยไป มิได้พูดและตอบโยมคนนั้น ด้วยคำใดคำหนึ่งเลย

เจอเสือ
พอฉันเสร็จแล้วก็ตะพายบาตร ไต่ชายเขาไปประมาณสัก ๘๐ เส้น พบบึงน้ำมีบัวหลวง บัวทอง จอกแหนต่าง ๆ มีร่มไม้สดชื่นหลายอย่างตามริมบึง
แต่บึงนั้นมีฝั่งชันและสูง มีทางลง ๕ แห่ง เป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้นว่า เสือ, ช้าง, หมี, ลิง, กระทิง
สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้อาศัยกินน้ำในบึงนั้น อาตมภาพไปถึงก็พิจารณาว่า “ที่นี้มีน้ำใสดีและป่าไม้ก็สดชื่น
ควรแล้วที่เราผู้ต้องการความสงบจะต้องพักบำเพ็ญอยู่ที่นี่” แล้วก็หลีกไปอาศัยอยู่ร่มไทรที่ตั้งอยู่ชายเขา ห่างจากบึงประมาณ ๑๐ เส้น

พอตะวันค่ำลง ประมาณ ๕ โมงเย็น เผอิญมีเสียงเสือร้องเสียง ฮ้าวฮือๆ ฮ้าวฮือๆ ดังจากหลังเขาจะมากินน้ำในบึงนั้น เสียงเสือร้องดังก้องมาในทิศทั้งสี่
อาตมภาพได้ยินเข้าก็ตกใจ พิจารณาไปว่า “บัดนี้เรานำชีวิตมาสู่อันตราย ด้วยหวังเพื่อบำเพ็ญบารมี” เมื่อตกลงใจเช่นนี้ เกิดขนพองสยองเกล้าอย่างน่าพิศวง
คือปรากฏว่าขนทั้งตัวยาวออกข้างละแขนตั้งขึ้นตรง เสียงเสือยิ่งร้องใกล้เข้ามาทั้ง ๔ ตัว มาตัวละทิศ ขณะนั้นเกิดแน่นหน้าอก ลำคอแข็ง น้ำตาทั้งสองข้าง
ไหลหยดหยาดออกมา หยิบจีวรในบาตรมาห่มคลุมปิดทั้งตัวทั้งศีรษะ นั่งขัดสมาธิแล้วนึกอะไรยังไม่ออก เพราะยังแน่นหน้าอกและคอแข็ง
น้ำตาทั้งสองข้างก็ไหลไม่หยุด

ผีสะม่อยกินไส้พุง
อยู่มาประมาณ ๕ ทุ่ม ก็มีลิงไม่ใหญ่ไม่เล็กขนาดกลาง ๆ ลงมาจากต้นไทร มาร้องโวก ๆ เวียนอ้อม ๓ รอบ แล้วมานอนอยู่บนหน้าตัก เอาศีรษะหนุนเข่าขวา
ร้องเสียงโวกๆ ดังนั้นอยู่เรื่อยไป จนประมาณ ๖ ทุ่ม จึงนึกได้ว่าจะเป็นเช่นนี้กระมังที่โบราณท่านว่า ผีสะม่อยกินไส้พุงคนนอนค้างเขากลางคืน

พอนึกได้เช่นนี้แล้ว อาการแน่นหน้าอกก็ค่อยทุเลาลง พอให้นึกอะไรต่อไปได้ จึงได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า
“สาธุ..สาธุ..สาธุ..ข้าแต่เทพยดาทั้งหลาย พร้อมด้วยคุณพระรัตนตรัย หากว่าข้าพเจ้ายังมีกรรมเวรกับสัตว์ตัวหนึ่งตัวใดแล้ว
ขอสัตว์เหล่านั้นจงมาล้างผลาญทำลายชีวิตของข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามยถากรรมนั้นๆ หากว่าข้าพเจ้ามิได้มีกรรมเวรกับสัตว์ตัวหนึ่งตัวใดแล้ว
ก็ขอให้ปฏิปทาการบำเพ็ญบารมีของข้าพเจ้า จงเป็นไปอย่าได้ขัดข้องด้วยอันตรายทั้งหลาย อันจะพึงมีในเบื้องหน้า”

พออธิษฐานเสร็จลง ลิงตัวนั้นก็กระโดดออกไปขึ้นบนต้นไทร ทันใดก็นึกขึ้นได้ว่า “เราคงจะไม่มีเวร เพราะพอสำเร็จอธิษฐาน ลิงก็หนีทันที” ก็นึกดีใจขึ้นมา
ได้บริกรรมกำหนดนึก พุทโธๆ ตามหายใจเข้าหายใจออกอยู่เรื่อยไป

พอจวนสว่าง เสือก็ร้องฮ้าวฮือ ๆ ขึ้น ก็แน่นหน้าอกขึ้นอีก น้ำตาทั้งสองข้างก็ไหลหยดหยาดซึมซาบออกมา ไม่ช้าช้างก็ร้องเสียงดังเอ๊ก ๆ เอกขึ้นอีก
ขณะนั้นใจสะดุ้งขึ้นมาก็อึดอัดที่ต้นคอ หูดังอื้ออยู่ครู่หนึ่ง ปรากฏว่าลิ้นแข็ง ฟันออกมาที่ริมปาก แล้วก็หูดับและไม่รู้อะไร ในระหว่างนั้นคล้ายๆ
กับว่านอนหลับไม่ฝัน ก่อนจะรู้สึกตัวคล้ายกับนอนฝัน แต่ยังนั่งอยู่ ปรากฏว่ามีหญิงสาวหนุ่มคู่หนึ่ง ถือดอกบัวมาดอกหนึ่งมาถวายแล้วบอกว่า ท่านจงทนไปเถิด
ท่านจะเป็นผู้หมดเวรในชาตินี้ แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นทันที

ผู้ใหญ่บ้านนึกว่าเป็นเณรบ้า
พอดีสว่าง ก็ไปเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านนั้นอีก พอไปถึงหมู่บ้าน นายดีผู้ใหญ่บ้านบอกแก่ชาวบ้านนั้นว่า “ท่านองค์นี้ท่านมาบิณฑบาต
ใครมีศรัทธาก็จงใส่บาตรให้ท่านไปเถิด ใครไม่มีศรัทธาก็แล้วไป ส่วนตัวเราเข้าใจว่าจะเป็นคนบ้ากระมัง ถามไม่พูด
มิฉะนั้นก็จะเป็นคนพิกลมาจากแห่งหนึ่งแห่งใดเป็นแน่ “วันนั้นมีคนใส่บาตรให้ ๒ คน ได้ข้าวประมาณเท่า ๒ ฟองไข่เป็ด แล้วก็กลับไปฉัน
พอฉันเสร็จตอนกลางวันก็นั่งสมาธิ และเดินจงกรมไปตามเคย

ครั้นค่ำลงตอนเย็น เสือมันร้องฮ้าวฮือ ๆ ทุกวัน ๆ พอได้ยินเสียงเสือร้องขึ้น ก็เกิดแน่นหน้าอก น้ำตาไหลซึม ออกมาดังนั้นทุกวันไป
ตอนกลางคืนนอนไม่หลับเลยสักนิด นั่งอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น หากจะเคลื่อนตัวหรือเดินไปมาในเวลากลางคืน ก็นึกกลัวว่าเสือหรืออะไรมันจะมองเห็น
เอาผ้าจีวรห่มคลุมศีรษะแล้วก็นั่งนิ่งอยู่ เพื่อจะให้สัตว์ที่มามองเห็นว่าเป็นตอไม้ไป มันจะได้ไม่ทำอันตรายแก่เรา ทำอย่างนั้นอยู่ในที่นั้น ๓ วัน
ส่วนเวลากลางวันก็เดินจงกรม นั่งบ้าง นอนบ้าง ตามธรรมดา ส่วนกลางคืนนั่งทำทีเป็นตอไม้ไปเลย

เห็นนิมิต ได้แรงใจ
อยู่ต่อมาถึงวันคำรบ ๔ คิดปรารภจะกลับบ้านและสำนักวัดเดิม ไม่ช้าในขณะคิดจะกลับคืนสู่สำนักวัดเดิมนั้น มีตะขาบใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากรูหิน
มาอยู่ตรงหน้า แล้วก็กัดสะดือกินไส้ของตนจนเกือบจะขาดเป็นท่อนแล้วก็ตายไป ก็นั่งพิจารณาอาการของสัตว์นั้นอยู่
ไม่ช้าก็มีเต่าใหญ่ตัวหนึ่งคาบผลมะสั้นลูกโต ๆ เข้ามาวางติดกับเข่า หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หลีกไป

อาตมภาพก็นั่งพิจารณาอาการสัตว์ทั้งสองที่ปรากฏขณะนั้น ได้ความว่า “หากเราเพียรทำลายความกลัวของเราได้ แล้วเราก็จะมีผลดังเต่าตัวโง่ ๆ
ทำไมมันยังเอาผลไม้มาให้เราดูได้ ถึงความกลัวนี้ไม่หาย เราก็จะอดทนต่อความกลัวอยู่ต่อไป ก็จะได้บำเพ็ญขันติบารมี คือว่า จะกลัวเพียงใด
ก็อดทนอยู่อย่างนั้นเอง ทนต่อความกลัวอยู่ที่นั้น ตอนค่ำมา พอเสือร้องขึ้น เสียง ดังฮ้าวฮือๆ ก็แน่นหน้าอก น้ำตาไหลออกมา อยู่ เช่นนั้นได้ ๑๐ วัน

ท้อแท้ใจอยากตาย
ในวันคำรบ ๑๐ ตอนเย็น เสือร้องที่บนเขา ก็แน่นหน้าอกอีก จึงนึกขึ้นมาว่า เราทนต่อความกลัวมาเป็นเวลา ๑๐ วันแล้ว ไม่เห็นหายสักที
เป็นทุกข์อยู่ดังนี้ร่ำไป หากจะกลับบ้านก็กลัวเพื่อนบรรพชิต พร้อมทั้งอาจารย์จะดูถูกเรา ว่าไปไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไรไปได้ที่ไหน
เราก็จะอายขายหน้าและรำคาญหู ตกลงว่าเราตั้งใจไปหาความดี ซ้ำจะเอาความโง่ของตนคืนไปสู่สำนักวัด ให้คนอื่นเขาดูถูกปฏิปทาของศาสนา ทั้งเราก็จะเป็นทุกข์ต่อไป
เพราะจะรำคาญหู เขาจะเย้ยเล่นว่าเราเป็นกรรมฐานก้อม (ฉาบฉวย)

ตกลงถึงจะอยู่ที่นี้ก็เป็นทุกข์ จะกลับคืนสู่สำนักวัดก็เป็นทุกข์ กลัวเขาจะไม่เชื่อถือข้อประพฤติของเราอีกต่อไป คือเห็นเป็นคนไม่จริงกลับกลอก
หากว่าเราไปให้เสือกัดตายในวันนี้เสีย ก็ดีกว่าจะทนทุกข์อยู่ดังนี้ไปอีกหลายวัน ถ้าเรายังไม่ตายอยู่ต่อไปอีก พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้
ก็จะเป็นทุกข์เพราะความกลัวเช่นนี้ หากว่าเสือกัดให้เราตายเสียแล้วในวันนี้ ก็ใครเล่าจะมากลัวให้เป็นทุกข์อยู่ที่นี้อีก ตกลงว่า เอาเถิดเป็นทุกข์
เพราะเสือกัดไม่กี่ชั่วโมงก็ตายไป ดีกว่าเราจะทนทุกข์อยู่เช่นนี้ต่อไปอีกหลายวัน

คิดตกลงแล้ว ก็เตรียมครองผ้าให้เรียบร้อยเป็นปริมณฑล แล้วก็ตรงไปยังท่าน้ำบึงที่เสือเคยลงกินน้ำทุกวัน พอลงไปถึงริมน้ำแล้วก็นั่งขัดสมาธิพิจารณาว่า
เมื่อมันมากินเรา มันก็คงกัดที่ตรงคอเรานี้ ประเดี๋ยวก็ตายเท่านั้น ไม่ต้องลำบากอีกหลายวัน คิดแล้วก็ตั้งปณิธานปรารถนาว่า “หากข้าพเจ้าตายลงไปในวันนี้
ด้วยอำนาจแห่งคุณธรรมทั้งหลาย มีผลแห่งการรักษาศีลเป็นต้น จงดลบันดาลข้าพเจ้าให้ได้ถึงสุคติมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า”

อธิษฐานเสร็จก็นั่งอยู่ ไม่ช้าเสือก็มาถึง นั่งหลับตาอยู่ ได้ยินเสียงหายใจเสือดังเสียงกึกฮือๆ เข้าก็ลืมตาขึ้น เห็นเสือตัวใหญ่สี่มุม
มองดูเท้าหน้าทั้งสองของเสือใหญ่เท่าต้นคอของเรา นึกแล้วก็แน่นหน้าอกขึ้นมาทันที น้ำตาก็หยดหยาดลงมาในขณะนั้น แล้วก้มตัวลงหมอบอยู่ คอยให้เสือเข้ามากัด
ไม่ช้าเสือครางขึ้นเสียงดังกึกฮือ ๆ แล้วก็เอาฝุ่นดินมาใส่ถูกศีรษะ ๓ ที

แล้วเสือก็กระโดดขึ้นบนฝั่งบึง ร้องเสียงดังฮ้าวฮือ ๆ ไกลออกไปจึงเงยขึ้น นึกได้ว่า เสือมันไม่กินเรา เพราะอันตรายยังไม่มาถึง
นึกแล้วก็ขึ้นฝั่งบึง เดินตามหลังเสือห่างกันประมาณ ๑๐ กว่าวา พอเสือมองเห็นก็ทำท่าตะครุบ ก็เดินตรงเข้าไปหาเสือยังอีกประมาณ ๒ ก้าว
เสือก็กระโดดหนีไปตามชายเขา ส่วนอาตมภาพก็เดินกลับไปที่พักร่มไทร

เป็นตายเป็นเรื่องของกรรม
ขณะกำลังเดินไปนั้นพลางพิจารณาว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์คือสัตว์วิเศษ แปลว่า พวกใจสูง สูงพร้อมด้วยบุญญาภิสังขาร จึงได้เกิดมาเป็น มนุษย์ ตกลงว่า
ใครทั้งหมดในโลกนี้จะอยู่ได้ทน เพราะความกลัวก็หามิได้ หรือว่านึกอยากตายแล้วก็ ตายลงทันทีหามิได้ ข้อนี้หมายความว่า
ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์คงอยู่ได้หรือตายลงก็ดี ต้องเป็นไปตามยถากรรมของสัตว์ตามให้ผลเท่านั้น

พิจารณาเช่นนี้แล้วก็ถึงร่มไทร นั่งลงที่ก้อนหินที่เคยพักแล้วก็พิจารณาต่อไปว่า เช่นเราเวลานี้คิดอยากตาย ทั้งไปให้เสือกัดกินเสียด้วย
ข้อนี้กรรมยังรักษาอยู่ยังไม่ให้ผลให้ความตายมาถึง จึงไม่ตายเหมือนคนอื่นที่เขาตายก่อนเรา ยังอยู่ในบ้านเรือนเสียด้วย มีพี่น้อง
ญาติวงศ์รักษาไม่อยากให้เขาตาย คนที่ตายไปนั้นเขาก็ไม่อยากตาย แล้วก็ไม่เห็นว่ามีใครทำให้เขาตาย ทำไม เขาตายไป? ความเป็นอยู่ได้หรือความตายไปเหล่านี้
มิได้อยู่ในความปกครองต้องการของใครเสียแล้ว ความเป็นอยู่หรือความตายเป็นเรื่องของกรรมจะให้ผล เป็นส่วนพิเศษนอกเหนือจากความปกครองของใจ

มิใช่ ว่าใจนี้จะปกครองชีวิตได้โดยเด็ดขาด เช่นใจยังไม่อยากตายเลย พอเจ็บปวดที่ไหน เจ้าใจต้องนึกหายามาใส่ ผลที่สุดก็ตาย เช่นใจของเราเวลานี้
นึกอยากตาย ก็ไม่เห็นมันตาย ข้อนี้อย่าเลย เจ้าใจเอ๋ย ชีวิตความเป็นอยู่นี่หรือจะตายลงเมื่อไรก็ดี มิได้มีกรรมสิทธิ์ในเจ้าเสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ควรแล้วหรือที่เราจะมานึกกลัวตาย หรืออยากตายให้เป็นทุกข์เปล่า ๆ มิเข้าเรื่อง เข้าการความเป็นอยู่หรือความตายไป มีตัวกรรม เป็นเจ้าของ
เขาทำหน้าที่นั้นเป็นส่วนพิเศษ เราจะไปหวงแหนช่วยให้เขาทำให้ดีขึ้นกว่านี้ก็เปล่า หรือนึกจะทำลายของของเขาจนไปยอมให้เสือกัดเสียมันก็ไม่กัด
เพราะเจ้าของเขารักษาอยู่

เมื่อพิจารณาตกลงเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกหายกลัว ตกค่ำมืดประมาณ ๑ ทุ่ม รู้สึกง่วงนอนมาก ก็นอนทับลงที่ลานหินนั้น เงยหน้าขึ้น
มองดูดวงดาวสดใสก็นึกสบายใจขึ้น ชั่วครู่ เสือก็ครางขึ้นใกล้ ๆ เสียงฮ้าวฮือ ๆ ใจก็นึกขึ้นทันทีว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้ดีแล้ว
ชีวิตนี้มิได้มีกรรมสิทธิ์ในข้าพเจ้า” ใจจึงนึกสั่งเจ้าของชีวิตคือเจ้ากรรมว่า “เจ้ากรรมเอ๋ย ผู้เป็นเจ้าของแห่งชีวิต บัดนี้เสือมาใกล้เข้าแล้ว
เห็นสมควรเช่นไร เจ้าก็จงจัดการไปตามเรื่องนั่นแหละหนอ” นึกแล้วก็นอนหลับต่อไป ขณะหลับอยู่นั้นฝันว่าช้าง เผือกมาจับยกเอาทั้งตัวขึ้นนั่งบนศีรษะ
แล้วก็เดินพาไปพักอยู่ร่มไม้ใหญ่เย็นเงียบ

พิจารณาสติปัฏฐาน ๔

ไม่ช้าก็ตื่น พอตื่นขึ้นมาก็นึกพยากรณ์ความฝันของตนว่า ฝันเช่นนี้ปฏิปทาของเราจะเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงพิจารณาต่อไปว่า “แต่ก่อนเรามีความกลัวมาปิดกั้น
สันดานจนนึกอะไรไม่ออก บัดนี้ความกลัวอันนั้นก็ถึงความพ่ายแพ้ไปแล้ว บัดนี้เราควรจะบำเพ็ญธรรมบทไหนหนอ” พิจารณาไปมาก ๆ ก็ระลึกขึ้นได้ว่า
“สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเป็นธรรม อันบุคคลเจริญให้มากแล้ว ก็จะได้บรรลุธรรมาภิสมัย (การบรรลุธรรม) ภายใน ๗ ปีบ้าง ๗
เดือนบ้าง ๗ วัน บ้าง”

จากนั้นอาตมภาพก็นั่งสมาธิพิจารณาต่อไปว่า กายก็สักเพียงว่าแต่กาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียก กายานุปัสสนา และเวทนา สุขทุกข์
ก็ไม่ใช่เรา เรียก เวทนานุปัสสนา และจิตก็ไม่ใช่เรา เรียก จิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา ที่คิดพล่านกับจิตก็ไม่ใช่เรา เรียก ธรรมานุปัสสนา

เมื่อพิจารณาเสร็จก็เกิดความสลดใจขึ้นมา ว่าเราปฏิบัติเพื่อจะละกายอันเป็นมนุษย์ที่เจืออยู่ด้วยความทุกข์ เพื่อจะได้ความสุขเวทนาอันเกิดแก่ทิพสมบัติ
สุขนั้นก็มิใช่เราและของเราเสียแล้ว หรือจิตผู้จะเสวยความสุขก็ไม่ใช่เรา และไม่เป็นของเราเสียแล้ว และธรรมารมณ์ผู้จะรับรู้ซึ่งความสุขอันเราจะพึงได้
ก็ไม่ใช่เราและไม่เป็นของเราเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ปฏิปทาที่บำเพ็ญอยู่ด้วยความลำบากถึงเพียงนี้ เมื่อไรหนอจะเป็นคุณสมบัติอันจะพึงได้พึงถึง

เพราะว่ากายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ไม่ใช่เราและไม่เป็นของเราเสียแล้ว ตัวเวทนาคือความเสวยทุกข์ เสวยสุข
และอุเบกขาเวทนา ความเสวยในเวทนาทั้ง ๓ นี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเสียแล้ว ผลจะพึงได้อันเกิดแก่การรักษาศีล และเมตตาภาวนา จะพึงมีที่ไหนหนอ
พิจารณาไม่ตกลงก็เกิดความสลดใจมากขึ้น

พอดีสว่างรุ่งเช้าขึ้นก็เดินไปบิณฑบาต ขณะ เดินไปบิณฑบาตก็พิจารณาไปพลางว่า ทุกข์อันเกิดแต่ความรำคาญก็ปรากฏอยู่ที่เรา
สุขอันเกิดแต่ความชื่นใจก็ปรากฏอยู่ที่เรา หากสุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อุเบกขาเวทนาก็ดี พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา
ทำไมหนอจึงปรากฏอยู่ในสันดานของข้าพเจ้า ไม่รู้สิ้นรู้สุดเช่นนี้ พอเข้าไปถึงบ้าน เผอิญนายดีผู้ใหญ่บ้านแกลงมาบอกว่า “คนเช่นคุณไม่รู้ว่าบ้าหรือ
คนพิกลอย่างหนึ่งอย่างใด จะอยู่อาศัยหมู่บ้านนี้นานไม่ได้ จงหลีกไปเถิด” พอกลับจากบิณฑบาต ฉันเสร็จ ก็เตรียมของหลีกไปในวันนั้น

เห็นเสือกินคน
เดินข้ามเขาไป ๒ ลูก ไปถึงดงตะเบิงนาง พอดีตอนเที่ยงรู้สึกหิวน้ำ ก็แวะลงไปในคลองกลางดงนั้น พอลงไปที่ท่าน้ำ เห็นเสือกัดบุรุษคนหนึ่ง
เสือกำลังดึงกัดกินแต่ต้นขาขวาเท่านั้น ก็ยืนพิจารณาว่า “เจ้ากรรมเอ๋ย กรรมเช่นนี้ เจ้าเคยทำหรือไม่ หากใช่กาลอันถึงพร้อมแล้ว ก็ตามยถากรรม
มิใช่กาลถึงพร้อมแล้ว คือไม่เคยทำเวรกันมาแต่ก่อน ก็ขอปฏิปทา ของข้าพเจ้าจงเป็นไปในศาสนา อย่าได้ขัดข้อง” พออธิษฐานเสร็จแล้วก็นั่งลงฉันน้ำ
ส่วนเสือก็กระโดดมาจากคนที่ตายอยู่นั้น ข้ามศีรษะขึ้นริมบึง

เมื่ออาตมภาพฉันน้ำเสร็จแล้ว ก็ขึ้นฝั่งคลองตามหลังเสือไป พอเสือมองเห็นก็วิ่งขึ้นหน้าไปก่อนประมาณ ๒๐ เส้น
เดินติดตามไปในไม่ช้าก็พบเสือตัวนั้นหมอบอยู่ ทำท่าจะตะครุบ จึงพิจารณาขึ้นว่า “หากเราทั้งสองเคยเป็นกรรมกันมาแล้วอย่างใด ก็จงเป็นเช่นนั้นเถิด
หากไม่เคยเป็นกรรมหรือเบียดเบียนกันแล้ว ก็จงอย่าได้เบียดเบียนกันเลย” อธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ตรงเข้าไปหาเสือประมาณ ๕ ศอก เสือกระโดดเข้าป่าไป
จึงเดินข้ามดงนั้นไป ประมาณ ๓ ทุ่มเศษก็พ้นจากดง

ทำผิดผีชาวข่า
ไปถึงหมู่บ้านชื่อ นาบันได เป็นหมู่บ้านของข่าซึ่งไม่มีศาสนา มองเห็นศาลเจ้าของเขา นึกว่าเป็นศาลาที่พักนอกบ้าน
ก็ขึ้นพักที่นั้นโดยไม่รู้การปฏิบัติของเขา จึงไปเอายางไม้เต็งจุดไฟขึ้นที่ศาลเจ้าของเขา ชาวบ้านเขามองเห็นก็ถือตะเกียงและหอก ดาบ หลาว แหลนต่าง ๆ
มาทำท่าจะทุบตีบ้าง จะฟันบ้าง จะแทงบ้าง แล้วพูดขึ้นไม่รู้ภาษากันได้แต่สั่นศีรษะเท่านั้น

เขาจึงไปตามล่ามมา เขามาถามเป็นภาษาลาวว่าจะไปไหน จึงได้บอกเขาว่าจะไปกรรมฐาน แต่คนนั้นบอกว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ เจ้าจุดไฟผิดผีของพวกชาวบ้านแล้ว
เจ้าจงไปหาซื้อควายมาเลี้ยงผีเขาก่อนจึงไปได้” อาตมภาพบอกเขาว่าไม่มีเงิน แต่คนนั้นขอคลี่ดูย่ามและบาตรและสายคาดเอว เห็นไม่มีเงิน แกจึงขอมีดโกนกับผ้าสบง
ได้ยอมให้แต่ผ้าสบง และเขาให้ตัดผ้าสบงผืนนั้นออกเป็น ๑๖ ท่อน แล้วเขาก็แจกกัน

ในคืนวันนั้นจึงได้อาศัยอยู่นั้นตลอดรุ่ง พอสว่างตอนเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต ก็มีเฉพาะแต่คนพูดภาษาลาวเขาใส่ให้ ได้ข้าวก้อนหนึ่งประมาณเท่าไข่เป็ด
จึงกลับไปฉันที่ศาลา เสร็จแล้วก็เดินต่อไปเข้า เขาส้มโรง ในวันนั้น

เรียนมนต์พระเจ้า ๕ พระองค์
ข้ามเขาไปได้ ๔ ลูก เลียบไปตามชายเขา พอประมาณ ๕ โมงเย็น มองหาที่พัก เผอิญมองไปเห็นสามเณรองค์หนึ่ง นั่งนับลูกประคำอยู่ เข้าไปถาม ไม่พูดด้วย
เป็นแต่เขียนหนังสือบอกว่า “ผมอยู่ เมืองหงสาวดีเที่ยวธุดงค์ไปกับอาจารย์ บัดนี้อาจารย์ตายเสียแล้ว ยังเหลือแต่ผมคนเดียว บัดนี้อายุผมได้ ๑๗ ปี
จะเที่ยวไปโดยไม่อาลัย (ในชีวิต) ผมชื่อเณรจวง” จึงพักอาศัยอยู่ในถ้ำเดียวกันในคืนวันนั้นจนตลอดรุ่ง

พอสว่างรุ่งเช้าขึ้นมา สามเณรรูปนั้นจึงกวักมือเรียกอาตมภาพว่า “สามเณร ท่านจงเข้ามานี่” ครั้นอาตมภาพเข้าไปถึงสามเณรรูปนั้นจึงพูดว่า “ต่อไปนี้
บ้านมนุษย์อยู่ห่าง เมื่อท่านต้องการอาหารแล้ว รุ่ง เช้าขึ้น ท่านจงฟังเสียงชะนีมันร้อง เมื่อชะนีร้องมากชุกชุมที่ไหน ท่านจงเข้าไปที่นั้น
เพราะชะนีกินผลไม้เป็นอาหาร ท่านไปถึง เมื่อท่านต้องการ ท่านก็จะได้ฉันผลไม้นั้นเป็นอาหาร

“ว่าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่ อาตมภาพจึงขอลาท่านไป สามเณรนั้นจึง พูดว่า “ท่านจะเดินทางต่อไป ท่านจงเรียนพระพุทธมนต์ (พระเจ้า) ๕ พระองค์กับผมก่อน
ท่านจะไปด้วยความสวัสดิภาพ” อาตมภาพถามว่า “พุทธมนต์นั้นอย่างไร” สามเณรจึงบอกว่า “นะ เมตตา โม กรุณา พุท ปรานี ธา ยินดี
ยะ เอ็นดู ท่านจงเจริญบ่อย ๆ ท่านจะปลอดภัย” จากนั้นอาตมภาพจึงลาเณรแล้ว เดินทางต่อไปอีก ๓ วัน ยังไม่พบบ้านคน ฉันแต่ผลไม้เป็นอาหาร

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : tamroiphrabuddhabat
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : คติธรรม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: