1131. ย้อนรอยสมเด็จพระสังฆราช แพ วัดสุทัศนฯ

สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสฺสเทวะ
พระสังฆราชองค์ที่ 12 (พ.ศ. 2481-2487)

สมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์เทพวราราม พระนามเดิมว่า แพ พระฉายานาม ติสสเทวะ ประสูติในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตรงกับวันพุธ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๑๘ ตรงกับสุริยคติวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2399 บิดาชื่อ นุตร์ มารดาชื่อ อ้น เป็นชาวสวนบางลำภูล่าง อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี มีพี่น้องร่วมมารดาบิดาเดียวกันรวม ๗ คน คือ
๑. นางคล้าม พงษ์ปาละ
๒. สมเด็จพระสังฆราช (แพ)
๓. หลวงพุทธพันธพิทักษ์ (อยู่)
๔. นางทองคำ พงษ์ปาละ
๕. นางทองสุข พงษ์ปาละ
๖. นายชื่น พงษ์ปาละ
๗. นายใหญ่ พงษ์ปาละ

สมเด็จพระสังฆราชแพมีภูมิลำเนาสถานที่กำเนิดแถบบางลำพูล่าง อ.คลองสาน ธนบุรี มีนามสกุลว่า พงษ์ปาละ เมื่อเยาว์วัยประมาณ ๗ ขวบปีได้ศึกษาที่วัดทองนพคุณแถบคลองสาน พอเจริญวัยได้ ๑๓โยมบิดาได้พามาถวายตัวเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์(ครั้งเป็นพระธรรมวโรดมวัดราชบุรณะ) ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดราชบุรณะ แล้วกลับไปอยู่ที่วัดทองธรรมชาติเพื่อศึกษาต่อ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระอาจารย์โพวัดเศวตฉัตร


สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสฺสเทวะ

ต่อมาสมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์(สมบุรณ์เขียนตามสำนวนเดิม)ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่๕ ให้ย้ายไปครองวัดพระเชตุพนฯเมื่อพ.ศ.๒๔๑๕ สมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์ได้ให้สามเณรแพที่ขณะนั้นมีอายุ ๑๖ ปีมาอยู่ด้วย สามเณรแพรจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจากสมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์ ทั้งยังคงศึกษากับพระอาจารย์โพอยู่เนืองๆ ที่สำนักสมเด็จพระวันรัตนี้เอง สามเณรแพได้มีโอกาสศึกษากับนักปราชญ์ในยุคนั้นหลายท่านเช่น เสมียนตราศุข พระโหราธิบดี ชุ่ม

ต่อมาสมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่๕ ให้ย้ายไปครองวัดพระเชตุพนฯเมื่อพ.ศ.๒๔๑๕ สมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์ได้ให้สามเณรแพที่ขณะนั้นมีอายุ ๑๖ ปีมาอยู่ด้วย สามเณรแพรจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจากสมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์ ทั้งยังคงศึกษากับพระอาจารย์โพอยู่เนืองๆ ที่สำนักสมเด็จพระวันรัตนี้เอง สามเณรแพได้มีโอกาสศึกษากับนักปราชญ์ในยุคนั้นหลายท่านเช่น เสมียนตราศุข พระโหราธิบดี(ชุ่ม)

พ.ศ.๒๔๑๙สามเณรแพมีอายุครบบวช แต่สมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์อาพาธ สามเณรแพต้องอยู่ดูแลจึงยังไม่มีโอกาสบวช พอสมเด็จพระวันรัตสมบุรณ์ใกล้มรณภาพได้แนะนำให้สามเณรแพไปถวายตัวเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัตแดงวัดสุทัศนฯ ครั้งยังเป็นพระเทพกระวี


สมเด็จพระวันรัต แดง วัดสุทัศนฯ

พ.ศ.๒๔๒๒สามเณรแพมีอายุ ๒๒ ปี จึงค่อยได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเศวตฉัตร ซึ่งเป็นละแวกบ้านเดิม โดยมีสมเด็จพระวันรัตแดง(ขณะเป็นพระธรรมวโรดม)เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้วจึงย้ายจากวัดพระเชตุพนฯไปอยู่กับสมเด็จพระวันรัตแดงที่วัดสุทัศนฯ

พระภิกษุแพศึกษาพระปริยัติธรรมกับสมเด็จพระวันรัตแดง ทั้งยังได้ไปศึกษากับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์สาวัดราชประดิษฐ์(ต่อมาเป็นสมด็จพระสังฆราช) พระภิกษุแพเข้าแปลพระปริยัติธรรมขณะที่เป็นพระครูวินัยธร แปลได้เป็นเปรียญ ๔ ประโยคเมื่อพ.ศ.๒๔๒๕ พอถึงพ.ศ.๒๔๒๘เข้าแปลพระปริยัติธรรมที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แปลได้อีก ๑ ประโยครวมเป็นเปรียญ ๕ ประโยค

พระมหาแพปฏิบัติศาสนกิจด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี ได้รับพระราชาทานสมณศักดิ์เจริญก้าวหน้าตามลำดับดังนี้
พ.ศ.๒๔๓๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระศรีสมโพธิ
พ.ศ.๒๔๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเสมอพระราชาคณะผู้ใหญ่ชั้นเทพ ในราชทินนามเดิมคือ พระศรีสมโพธิ
พ.ศ.๒๔๔๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระเทพโมลี
พ.ศ.๒๔๔๓ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกษาจารย์
พ.ศ.๒๔๕๕ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระพรหมมุนี
พ.ศ.๒๔๖๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี
พ.ศ.๒๔๗๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาเป็น สมเด็จพระวันรัต
พ.ศ.๒๔๘๑ เป็นรัชสมัยของรัชกาลที่ ๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระสุพรรณบัฏตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๒

สมเด็จพระสังฆราชแพทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลัง ทั้งยังเป็นมิ่งขวัญแก่ศิษยานุศิษย์ตลอดจนประชาชนทั้งหลายโดยไม่เลือกเชื้อชาติหรือฐานะ จึงมีมหาชนเคารพศรัทธากันมาก


ครั้งเป็นพระเทพโมฬี

การแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยครั้งแรก

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สร้างกรุงเทพฯจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๘ ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกถึง ๓ ครั้ง คือครั้งรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๗ เป็นการสังคายนาบาลีให้ถูกต้อง แต่การแปลบาลีพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยให้จบครบถ้วนยังไม่มี คงมีแต่แปลกันเป็นเฉพาะเรื่องเฉพาะตอนเท่านั้น สมเด็จพระสังฆราชแพทรงดำริที่จะแปลพระไตรปิฎกบาลีเป็นภาษาไทยให้จบทั้งคัมภีร์ เพื่อที่เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนพุทธบริษัทสี่ชาวไทย การนี้ได้รับพระราชทานให้เป็นพระบรมราชูปถัมภ์ การแปลพระไตรปิฎกจากภาษาบาลีให้เป็นภาษาไทยจึงเกิดขึ้นในสมัยของสมเด็จพระสังฆราชแพ ติสฺสเทวมหาเถระนี่เอง


ครั้งเป็นพระพรหมมุนี แพ


แถวนั่งที่3จากซ้าย ครั้งเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ แพ


ภาพจาก dhammajak


ภาพจาก dhammajak


แถวหน้าที่จากซ้าย ครั้งเป็นสมเด็จพระวันรัต แพ

เสด็จดับขันธ์

สมเด็จพระสังฆราชแพทรงบำเพ็ญศาสนกิจเป็นอันมาก ทั้งๆที่ทรงมีพระชนมายุมากแล้วก็ยังมิได้ทอดทิ้งกิจนั้น ความตรากตำเอาใจใส่ทรงงานหนัก ในที่สุดพระองค์ก็เริ่มประชวรมากขึ้น จนกระทั่งวันเสาร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๗ พระองค์จึงเสด็จดับขันธ์สิ้นพระชนม์ นับสิริพระชนมายุได้ ๘๙ พรรษา พระพรรษาผนวช ๖๖ พรรษา ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเวลา ๗ พรรษา

พระกริ่งวัดสุทัศนฯ

สมเด็จพระสังฆราชแพเป็นผู้ทรงคุณทางพระกรรมฐานมาก ทั้งรอบรู้วิชาการของโบราณสารพัด พระองค์ได้สถาปนาพระเครื่องที่มีชื่อเสียงมากแบบหนึ่ง นั่นคือพระโลหะที่เขย่าแล้วมีเสียงกริ๊กๆ เรียกพระเครื่องแบบนี้ว่าพระกริ่ง ถือกันว่าในบรรดาพระหล่อโลหะทั้งปวง พระกริ่งเป็นพระชั้นสูงสุด มีขั้นตอนการสร้างยาก ระเบียบแบบแผนในการสร้างและพิธีกรรมมาก ผู้สร้างต้องมีความอุตสาหะสูง มีสมาธิจิตสูง

การที่สมเด็จพระสังฆราชแพทรงสนพระทัยในการสร้างพระกริ่งนั้น ท่านอาจารย์ นิรันดร์ แดงวิจิตร ผู้เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิด และเคยเป็นพระเลขาฯของสมเด็จพระสังฆราชแพ ได้เขียนไว้ในหนังสือตำนานพระกริ่งว่า


อาจารย์ นิรันดร์ แดงวิจิตร


อาจารย์ นิรันดร์ เจิมหน้าผากในวันไหว้ครูที่ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช แพ

ครั้งหนึ่งสมเด็จพระวันรัตแดงอาพาธเนื่องจากอหิวาตกโรค ขณะนั้นสมเด็จพระสังฆราชแพยังเป็นที่พระศรีสมโพธิ ในครั้งนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสเสด็จมาเยี่ยม รับสั่งว่าเคยเห็นสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ เสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์เอง อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานทำน้ำมนต์ให้คนเป็นอหิวาต์ดื่มกิน ปรากฏว่าหายจากโรคได้

แล้วสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯรับสั่งให้มหาดเล็กไปเอาพระกริ่งที่วัดบวรฯ สมเด็จพระวันรัตแดงกราบทูลว่าพระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้ารับสั่งให้นำพระกริ่งมาอาราธนาทำน้ำมนต์ แล้วถวายให้สมเด็จพระวันรัตแดงฉัน อาการป่วยก็ทุเลาลงจนหายดี

นับแต่นั้นพระศรีสมโพธิ(พระสังฆราชแพ)จึงสนใจในการสร้างพระกริ่ง ได้สืบสวนเสาะหาวิธีการสร้างพระกริ่ง ค้นคว้าจนกระทั่งสามารถผสมเนื้อโลหะออกมาได้มีวรรณะสีผิวหลายอย่าง และที่กลับดำสนิท เรียกว่าเนื้อนวโลหะนั่นเอง สำหรับตำราการสร้างพระกริ่งนั้น ได้รับมาจากสมเด็จพระพุฒาจารย์มา วัดสามปลื้ม หรือที่เรียกกันว่าท่านเจ้ามา


ท่านเจ้ามาวัดสามปลื้ม

สมเด็จพระสังฆราชแพทรงสร้างพระกริ่งครั้งแรกเมื่อครั้งเป็นพระเทพโมฬี และได้สร้างต่อมาโดยตลอด จำนวนการสร้างในแต่ละครั้งค่อนข้างน้อย ยกเว้นในกรณีที่มีผู้ขอให้สร้างมากหน่อยเฉพาะเท่าที่จำเป็น ในปัจจุบันพระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราชแพเป็นที่นิยมของนักสะสมพระเครื่องกันมาก และหายากมากๆ นับเป็นวัตถุมงคลในฝันกันเลย
ในปัจจุบันนี้ที่วัดสุทัศนฯยังมีพิธีทำบุญไหว้ครูระลึกถึงสมเด็จพระสังฆราชแพ โดยจะทำบุญในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของทุกปี

ข้อมูลจากที่ได้สนทนากับตุณตาหนู(อ.นิรันดร์ แดงวิจิตร)
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : m-legens
รูปภาพสวยๆจาก : dhammajak
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: