6158. ตำนาน พระวีระมหาเทพ บุรุษผู้กล้าหาญสู้กองทัพพม่าได้ทั้งกอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเพียงได้ยินได้ฟังมา ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย

ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงครั้งที่ ๑ ครั้งพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่าเสด็จยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้เกณฑ์ไพร่พลมาทั้งสิ้น ๕๐๐,๐๐๐ คน และต่อมาก็ได้เกณฑ์ไพร่พลมาสมทบอีก ๕๐๐,๐๐๐ คน แต่ยังมิอาจหักตีกรุงศรีอยุธยาได้และได้สั่งจัดเตรียมไพร่พลที่กรุงหงสาวดีอีก ๕๐๐,๐๐๐ คน แต่ยังไม่ได้เดินทางออกจากกรุงหงสาวดี

ในครั้งนั้นพระเจ้าบุเรงนองได้ออกอุบาย โดยส่งพระยาจักรีผู้ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพคนนึงของ กรุงศรีอยุธยามาเป็นไส้ศึก ซึ่งต่อมาพระยาจักรีได้หาวิธีให้ร้ายพระศรีเสาวราชน้องยาเธอของสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้ากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้ช่วยอำนวยการรบกับพม่าได้อย่างเข้มแข็งว่าทรงเป็นขบถ จนในที่สุดพระองค์ได้ทรงต้องโทษถูกประหาร พระมหาเทพ (ท่านชื่อเทพ อยู่วัดเป็นมหาและมียศเป็นคุณพระ) แม่ทัพ ๑ ใน ๓ กองทัพของกรุงศรีอยุธยาและครูฝึกกองทหารทะลวงฟัน ซึ่งถือเป็นข้าเบื้องบาทของพระศรีเสาวราช แม้รู้ในอุบายของพระเจ้าบุเรงนองก็มิอาจทำอะไรได้ จึงเกิดความท้อใจและไม่ต้องการเป็นข้าพระยาจักรี จึงขอลาออกจากราชการ

ต่อมาพระยาจักรีจึงได้ทำการต่างๆและเมื่อเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาอ่อนแอมากแล้ว จึงเปิดประตูเมืองให้กองทัพพม่าเข้าเมืองแต่เลือกเปิดประตูเมืองทางด้านของกองทัพพระมหาธรรมราชให้เข้าเมืองเพราะเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกันคงไม่ทำความเสียหายให้้กรุงศรีอยุธยามากนักและคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นสำคัญ

เมื่อกองทัพของพระมหาธรรมราชาเข้าเมืองได้เหล่าทหารที่ประจำเชิงเทินในด้านต่างๆ จึงเคลื่อนตรงมารับศึกทางด้านของทิศที่พระมหาธรรมราชาเข้าเมือง ต่อจากนั้น กองทัพหงสาวดีทุกกองก็ได้ยกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาในทุกทางทำให้เกิดโกลาหลอลม่านขึ้นภายในพระนคร

ครั้นพระมหาเทพทราบข่าวก็เข้าใจว่าพระยาจักรีเปิดประตูเมืองทางด้านของกองทัพพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากเป็นทัพที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุด พระมหาเทพจึงขึ้นช้างใช้ง้าวรบกับพม่าเรื่อยมาเพื่อไปขวางทัพของพระเจ้าบุเรงนอง ด้วยทหารเพียงไม่กี่คนที่มาบอกข่าว เมื่อช้างติดล่มก็ฉวยม้าจากข้าศึกจับทวนขึ้นต่อสู้กับพม่าเรื่อยมา สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงเมืองทางด้าน

กองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง พระมหาเทพยืนอยู่ตัวคนเดียวในระหว่างซุ้มประตูกำแพงเมืองถือดาบสองมือยืนสู้ยันกองทัพพม่าของพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งมีจำนวนกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน ไม่ให้เข้ากรุงศรีอยุธยาได้ เนื่องจากบริเวณซุ้มประตูกำแพงเมืองเป็นที่แคบ

ทหารพม่าเข้ามาได้เพียงครั้งละไม่เกิน ๑๐ คนเท่านั้นและสามารถป้องกันการล้อมจับและการโจมตีจากทางด้านหลังได้อีกด้วยและขณะนั้นทหารที่รักษาเชิงเทินด้านนั้นแทบจะไม่มเหลืออยู่ีเลย เนื่องจากไปช่วยทำศึกกับข้าศึกที่ยกเข้าไปในพระนครทำให้ทหารพม่าของพระเจ้าบุเรงนองไม่คิดจะปีนกำแพงเมืองขึ้นไปเพื่อเข้าพระนครเพราะต้องการเลี่ยงขุนศึกแห่งกรุงศรีอยุธยาเพียงคนเดียวและไม่คิดใช้อาวุธยิงให้เสื่อมเสียขื่อเสียงและเกียรติยศของผู้ชนะสิบทิศ

การรบผ่านไปนานมาก มีแต่ศพของทหารพม่านอนตายกองสุมกันอยู่บริเวณหน้าซุ้มประตู จนต้องเก็บออกไปศพแล้วศพเล่าหลังจากนั้นไม่มีทหารพม่าคนใดในกองทัพของพระเจ้าบุเรงนองอีกแล้วที่กล้าเข้าไปประดาบกับพระมหาเทพ สิ่งที่ทหารพม่ากลัวคงมาจากภาพการตายที่สยดสยองภายใต้คมดาบของพระมหาเทพ คงมาจากที่ไม่มีใครสามารถประดาบกับพระมหาเทพได้ถึง ๓ ดาบแล้วยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้และคงมาจากสายตา น้ำเสียงและลักษณะท่าทางของพระมหาเทพที่ดุดันและทรงอำนาจจนสามารถสั่นคลอนจิตใจของทหารพม่าผู้เจนศึกและผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนได้ทั้งกองทัพ

พระเจ้าบุเรงนองทรงกริ้วที่กองทหารพม่าของพระองค์ยังไม่สามารถเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ ในขณะที่กองทัพอื่นเข้าไปได้หมดแล้วทหารจึงรายงานว่ามีทหารกรุงศรีอยุธยาเข้ามาขัดขวางกองทัพไว้และเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทหารกรุงศรีอยุธยาที่เข้าขวางกองทัพของพระองค์ทั้งกองทัพนั้น มาจากทหารเพียงคนเดียว พระองค์จึงมีความสนพระทัยในตัวนายทหารผู้นั้นจึงเสด็จขึ้นมาดูตัวพระมหาเทพและเสด็จมาทันก่อนที่นายกองพม่าจะสั่งทหารยิงธนูและพุ่งหอกซัดเข้าใส่พระมหาเทพ

เมื่อเสด็จทอดพระเนตรพระมหาเทพแล้วจึงพูดกับทหารพม่าว่านายทหารผู้นี้ได้สิ้นชีวิตลงไปแล้ว แล้วพระองค์จึงสั่งให้ทหารเข้าไปเก็บศพของพระมหาเทพและเตรียมเคลื่อนทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป แม้จะต้องถูกลงอาญาแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรัศมีดาบของพระมหาเทพอีก จนสุดท้ายพระเจ้าบุเรงนองจึงสั่งให้ทหารพม่าหน่วยหนึ่งถือค้อนปีนขึ้นกำแพงเมืองและทุบซุ้มประตูให้พังลงมาทัพร่างของพระมหาเทพ แล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา

ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้ให้ทหารสืบหาประวัติเกี่ยวกับพระมหาเทพและได้ให้ทหารขุดศพของพระมหาเทพขึ้นมาทำพิธีศพอย่างสมเกียรติเยี่ยงนักรบที่เก่งกาจและยิ่งใหญ่ที่สุดและได้ปรารพกับเหล่าทหารพม่าว่า ”ตนเองแม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสิบทิศแต่ทิศที่สิบไม่ได้ของพระองค์แต่เป็นทิศของพระมหาเทพ หากตนเองต้องต่อสู้กับพระมหาเทพก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเพราะไม่ว่าตนเองจะเก่งกาจยังไงก็ไม่มีวันเอาชนะกองทหารพม่าทั้งกองทัพได้อย่างพระมหาเทพแน่นอนและถ้าหากกรุงศรีอยุธยามีพระมหาเทพซักสิบคน หงสาวดีคงไม่มีวันที่จะเอาชนะกรุงศรีอยุธยาได้แน่”

น่าเสียดายที่เรื่องราวของพระมหาเทพในพงศาวดารไทยมีบันทึกอยู่เพียงนิดเดียวและมิได้ยิ่งใหญ่อย่างที่ข้าพเจ้าได้ยินได้รับฟังมา และหากเรื่องราวของ พระมหาเทพ นักดาบแห่งตำนานของกรุงศรีอยุธยาคนนึงเป็นจริง วีรกรรมในครั้งนั้นของพระมหาเทพก็สมควรได้รับสมญานามว่า “ วีระมหาเทพ ” อันหมายถึง พระมหาเทพผู้กล้าหาญและการศึกคราวเสียกรุงครั้งที่ ๑ ก็ได้ให้แง่คิดกับคนไทยหลายประการ แต่ดูเหมือนว่าเราจะลืมเรื่องนี้กันไปหมดแล้วหากคนไทยหันคมดาบเข้าหากันต่อให้มีพระมหาเทพซัก ๑๐ คนก็มิอาจช่วยประเทศชาติให้พ้นจากความวิบัติได้

ที่มา http://www.wungna.ac.th/home/legend/legendpramahatep.html
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : todaynewsth.com
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : หนังเรื่อง บางระจัน 2
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: