599. ขุนพันธ์ กับนายกลับ คำทอง แมวขโมยล่องหน

ปีพุทธศักราช 2485…

นายกลับคำทอง ชาวอำเภอทับเที่ยง จังหวัดตรังเป็นผู้ร้ายมาตั้งแต่สมัยดำ หัวแพร รุ่งดอนทราย สมัยรัชกาลที่6เจ้าหน้าที่จับไม่ได้สักทีบางคนตามจับตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เช่น คุณยุทธ ประภาวัฒน์ ตามจับอยู่ถึง 11ปี ไม่ได้พบเห็น

ผู้คนต่างลือไปว่า นายกลับหรือลุงกลับนี้ มีวิชาล่องหนหายตัวทั้งอยู่ยงคงกระพัน เพราะนายกลับเป็นศิษย์ฆราวาสของสำนักเขาอ้อ เมืองพัทลุงอันมีชื่อเสียงไปทั่วภาคใต้

ลุงกลับมีเพื่อนเกลออยู่คนหนึ่งชื่อ อาจารย์นำ แก้วจันทร์ อายุอ่อนกว่า ลุงกลับถึง20ปี แต่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์คืออาจารย์ทอง แห่งสำนักเขาอ้อ คนทั้งสองเรียนวิชาจนทันกันมีความสามารถเท่ากันแต่พระอาจารย์นำเลือกทางเข้าสู่บวรพุทธศาสนา นายกลับ คำทองเลือกที่จะเป็นโจร

ตำรวจทั้งโรงพักไม่ว่าจะเป็นที่ตรังหรือพัทลุง ต้องลงบันทึกประจำวันว่าออกตามจับนายกลับ เนื่องจากนายกลับมีค่าตัวถึง 600 บาท มากกว่าเงินเดือนนายร้อยตรีในสมัยนั้นสิบเท่า

ขุนพันธ์ตามล่านายกลับเป้นเวลานานตั้งเเต่ปี พ.ศ. 2478 แต่คว้าน้ำเหลวมาตลอด แต่เนื่องจากตนเองมีความชอบด้านไสบศาสตร์ ก็มักไปหาพระอาจารย์นำที่สำนักเขาอ้ออยู่เสมอ และฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอีกด้วย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง…ขุนพันธ์ได้ถามอาจารย์ว่า ”จะมีวิธีจับนายกลับได้อย่างไร?” อาจารย์นำถึงกับหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกก่อนตอบสั่นๆ มาว่า ”ถ้าจะจับนายกลับให้ได้ ต้องตามให้ทัน”

ขันพันธ์ก็ออกไล่ล่านายกลับให้ได้ โดยใช้การประกบตัวคนใกล้ชิด และลูกศิษย์ของแก คือนายพ่วง บ้านอยู่คลองเรือห่างจากสถานีตำรวจประมาณ 2กิโลเมตร มีคดีฆ่าคนตาย แต่หลักฐานไม่เพียงพอ ตำรวจจึงต้องปล่อยตัวไป

มือปราบพระกาฬได้เกลี้ยกล่อมให้มาร่วมมือกับตำรวจแล้วโทษอื่นจะช่วยให้หนักเป็นเบา นายพ่วงยอมตกลงหักหลังผู้เป็นอาจารย์ทันที

นายพ่วงรายงาน นายกลับจะไปทำการปล้นที่จังหวัดสงขลา ตอนนี้กำลังทำพิธีบวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางอยู่ที่บ้านของนายพ่วง ท่านขุนฯ จัดกำลังเจ้าหน้าที่เดินทางไปทันที

แต่ไปถึงพบกับความว่างเปล่า เพราะกลุ่มโจรของนายกลับได้หายไปหมด สอบถามเอาจากเพื่อนบ้านได้ความว่า ตอนทำพิธีลูกน้องลุงกลับห้อมล้อมเป็นวงกลม ตัวนายกลับอยู่ตรงกลางใส่มงคลอยู่ที่หัวคล้ายมงคลของนักมวย

นั่งทำพิธีอยู่ชั่วครู่นายกลับบอกกับลูกน้องขึ้นว่า

”วันนี้เสียฤกษ์เเล้ว มงคลไม่เต้นแบบมีชีวิตชีวา เเต่สั่นเฉยๆ เป็นลางไม่ดี กินของเซ่นแล้วเเยกย้ายกันกลับซะ” ของเว่นเลยเป้นของกินของลูกน้อง จากนั้นพากันเเยกย้ายกันกลับ!!

หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปสามวัน นายกลับได้มาหานายพ่วงถึงที่บ้านพร้อมกับชี้หน้าด่า

”อ้ายพ่วง…มึงคิดไม่ซื่อกับกู คิดอ่านสมคบกับตำรวจตามจับกู ต่อไปนี้มึงกับกูเลิกคบกัน”

จริงๆ แล้วนายกลับควรจะฆ่านายพ่วง แต่เพราะความเป้นศิษย์เป็นครูเลยไม่ทำ อีกอย่างนายกลับไมาใช่เป็นคนเหี้ยมในสันดานนายกลับดำรงตนเป็นโจรถึง 40 ปี เคยปล้นเพียงครั้งเดียว โดยมีเหตุผลที่ว่า การปล้นกฏหมายลงโทษหนัก เป้นเรื่องเอิกเกริกท้าทายกฏหมายสู้ย่องเบาไม่ได้ ทำงานเพียงคนเดียว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง…ข้าหลวงเมืองตรัง ได้เกลี้ยกล่อมลูกหลานนายกลับที่รับราชการบนศาลากลางจังหวัด ให้ไปอ้อนวอนนายกลับมามอบตัว โทษหนักจะเป็นเบานายกลับเห็นกับลูกหลานและวงศ์ตระกูลจึงติดต่อว่าจะเดินทางไปเข้าเรือนจำเอง เมื่อถึงเวลานัดนายกลับก็ไปจริงๆ

วันนั้น…ข้าหลวงนั่งอยู่หน้ามุขตีนเนินเฝ้าสังเกตการณ์ได้เห้นนายกลับเข้าไปหาพัศดีที่รอรับ พัศดีขอตีตรวนที่คอ มือเท้า2ข้าง แต่นายกลับไม่ยอมโดยอ้างว่า

”นาย…ผมไม่ได้ถูกจับ ผมจะมาเข้าคุกเอง ถ้าทำอย่างนี้ผมไม่อยู่ ผมไปล่ะ”

ฝ่ายพัศดีเรือนจำก็ไม่ยอม เนื่องจากเป้นผู้ร้ายตัวสำคัญต้องปฏิบัติตามระเบียบ ไม่มีการยกเว้น แต่นายกลับหาได้สนใจ แกรูดโซ่ตรวนออกหมด แม้พัศดีจะพยายามจับแกใส่ีอกนายกลับก็ถอดได้อีก ครั้งสุดท้ายแกถือมีดในมือเล่มเดียวเดินออกจากเรือนจำ พัศดีได้แต่ทำตาปริบๆ พูดไม่ออก ส่วนผู้คุมทรุดตัวลงนั่งลุกไม่ได้ ว่ากันว่า ทุกคนถูกอำนาจมนต์สะกด?!

ฝ่ายขุนพันธ์ตามล่านายกลับอยู่หลายครั้ง ไม่ได้ตัวสักทีทั้งๆที่ทำตามอาจารย์นำที่สอน ได้แต่คิดปริศนานี้อยู่เรื่อยมา ในที่สุดก็มาคิดได้ คำที่ว่า ”ต้องตามให้ทัน” นั่นก็คือ ต้องเรียนรู้เรื่องไสยศาสตร์ให้ทันนายกลับมือปราบเลยไปเรียนไสยศาสตร์เพิ่มเติมกับอาจารย์นำอีกมากมาย ซึ่งก็เรียนได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีพื้นฐานอยู่มากมาย

จนกระทั่ง…เดือนกุมภาพันธ์ 2485 นายเจิม ลูกงู ซึ่งเป็น”สาย”ให้กับตำรวจ เป้นคนควนขนุน พัทลุง เป็นคนเก่งมาก เพราะมีปานดำเป็นรูปกางเกง ไม่กลัวไฟ และของแหลมคมในออดีตเคยเป็นพวกของนายกลับได้รายงานให้ขุนพันธ์ทราบว่า นายกลับไปได้เเม่ม่ายลูกติด อยู่ที่บ้าน ตำบลบ้านนา เมืองพัทลุง มือปราบจึงระดมพล ได้แก่ นายเจิม ลูกงู เป็นผู้นำทาง พลฯ บุญ กล้าหาญ พลฯ มน ขุนยัง พลฯ จำเนียร นาคะวิโรจน์ พลฯ กันภัย ณ ป้องเพรช และขุนพันธ์ออกเดินทางโดยว่าจ้างรถให้ไปส่ง พอไปถึงบ้านนาวงได้สั่งให้รถหยุดขุนพันธ์จ่ายค่ารถ 30บาท พร้อมกับสั่งให้รถกลับไปได้ไม่ต้องรอ

นายเจิมเดินหน้าพาเข้าป่าวไปทางทิศเหนือ พอไปถึงสวนของชาวบ้านได้เห็นห้างบนต้นไม้ใหญ่ มีหลังคาและฝากั้นสูง มีพะองแทนบันได ขณะนั้นเป้นเวลา 23 นาฬิกา นายเจิมบอกให้พักที่นี่ก่อน

”รอจนถึงตี 5 ค่อยไปกันต่อ ห้างนี้สูงถึง 5 เมตร เสือคงกระโดดไม่ถึง”

ท่านขุนพูดเชิงติดตลกกับทุกคนว่า ”เสือไม่กลัวราชสีห์ก็ลองดู”

คืนนั้นทุกคนนอนหลับกันไม่ลง เนื่องจากห่วงงานและมียุงกวนอยู่ตลอด พอถึงตี 5 ทุกคนก็ลงจากห้าง นายเจิมได้บอกว่า

”ไม่ต้องรีบเดินกัน เพราะบ้านลุงกลับอยู่ไม่ไกล 30นาทีก็เดินถึง”

ประมาณตี5ครึ่ง ตำรวจได้เข้าเขตบ้านนายกลับ ห่างจากเรือนไปทางทิศเหนือ ถึงเวลาหกโมงเช้า ร.ต.อ.ขุนพันธ์ และนายเจิมต่างก็เห็นนายกลับ เปิดประตูระเบียงเรือนออกมายืนนอกชาน ตรงที่ตำรวจซุ่มพอดีแกนุ่งผ้าพื้นลอยชายสีเขียวใบไม้ มีผ้าขาวม้าตาหมากรุกพาดไหล่ห้อยชายไปข้างหลังทั้งสองข้าง หันหน้าไปทิศตะวันออก มองดูรอบๆ

ขุนพันธ์ชี้เป้าหมายให้ตำรวจดู แต่ไม่มีลูกน้องคนใดมองเห้นนายกลับเว้นแต่นายเจิมที่เห้นเช่นเดียวกับสิงห์มือปราบ? จ้องมองราว 15นาที ก็มองไม่เห็นตัวนายกลับเสียเเล้ว! สักครู่ได้ยินเสียงคนฟันไม้อยู่ทางทิศตะวันตกของเรือนนายเจิมบอกขุนพันธ์ว่า

”ลุงกลับแล้วก็ลูกเลี้ยงเป็นชาย อายุรา 17ปี กำลังทำคอกควายใหม่”

แต่ไม่เห็นตัวเพราะมีหญ้ากอสูงท่วมหัวบังอยู่ จึงสั่งเคลื่อนที่ด้วยการคลานเข้าไป ห่างประมาณ 8 วา ก็เห็นนายกลับเเละลูกเลี้ยงผูกรั้วเดินหน้าไปทางตะวันออก ลูกเลี้ยงปักกระทู้นำหน้า แม้จะใกล้ขนาดนั้นแล้วตำรวจใต้บังคับบัญชาก็ยังมองไม่เห็นนายกลับ?

พอดีห่างจากตัวนายกลับออกไปสัก 2 วา เป็นจอมปลวกซึ่งมีต้นไม้ขึ้นขุนพันธ์คิดว่าหากนายกลับเดินไปยังจอมปลวก ตนเองและลูกน้องจะรีบเข้าไปถึงตัวเเล้วต่อยจับเอา เพราะคนอยู่ยงคงกระพันนั้นหากใช้ปืนยิงก็คงจับไม่ได้ จะเสียเวลาคนร้ายอาจหนีไปได้

จึงสั่งห้ามไม่ให้ใครยิง! แต่ให้รีบเข้าไปช่วยตนเองตอนปล้ำจับ

นายกลับ คำทอง หารู้ไม่ว่าตำรวจอยู่ใกล้ตัวเเค่เอื้อม คงทำงานไปไม่สนใจอะไร เขามองดูต้นไม้สุงใหญ่เดินผ่านตำรวจไม่เกิน 2 วา แต่ไม่มีตำรวจเห็น

นายเจิมคงรำคาญเต็มทน จึงลุกขึ้นชันเข่าประทับปืนลูกซองเบรานิงยิงออกไป 2 นัด แต่ไม่โดน นายกลับหันมามองแว๊บเดียวแล้วหันหลังวิ่งทันทีคราวนี้ตำรวจทุกคนเห็นนายกลับเเล้ว! ทุกคนไล่กรวดเป้นเเถวหน้ากระดาน โดยมีพลฯ จำเนียรอยู่สุดแถวทางขวา มีพลฯ หาญอยู่ทางซ้าย

พอวิ่งไปถึงปลายสวน พวกที่อยู่กลางแถวไปติดกอไผ่และยังมีคอกควายเก่าอยู่อีกด้วย พลฯ บุญวิ่งกระหนาบเข้าข้างซ้าย พลฯ จำเนียรวิ่งกระหนาบเข้ามาทางขวา นายกลับวิ่งวนไปมา แล้วล้มลงนอนหงายท้อง ชักมีดพกออกมาถือยันเอาไว้ไม่ให้พวกตำรวจเข้าไปใกล้ ด้วยการหมุนตัวไปรอบๆ

พอได้จังหวะก็ลุกขึ้นวิ่งหนี ชนพลฯ บุญล้มลง แล้ววิ่งต่อไปถึงลำห้วยนายกลับกระโดดลงไป ในห้วยมีน้ำเพียงแค่ศอกจึงวิ่งลุยได้สบาย ทั้งคนร้ายทั้งตำรวจวิ่งลุยน้ำอยู่ในห้วย

นายกลับเตรียม วกขึ้นตลิ่ง พลฯ จำเนียรส่องด้วยปืนพระรามหกในระยะห่างเพียง 2 วา ถูกตรงสะบัก ล้มหงายตึงลงมายังห้ายที่มีหาดทราย….แล้วจู่ๆ นายกลับก็หายไปต่อหน้าเฉยๆ โดยไม่มีร่องรอย!

ขุนพันธ์เข้าใจว่า คนร้ายอาจหนีกลับไปบ้านของตนเพื่อเอาปืนและเครื่องรางฯ จึงนำกำลังกลับไปที่บ้านนายกลับ เจอเข้ากับลูกเลี้ยงจึงใช้ขึ้นไปเอาเครื่องรางลงมาให้ เพราะตำรวจไม่รู้ที่ซ่อน แต่ลูกเลี้ยงไม่ยอมเพราะกลัวนายกลับฆ่าเอาทั้งเเม่ทั้งลูก!!

ขุนพันธ์จึงสั่งลูกน้องทั้งสี่คนขึ้นไปค้น แต่ค้นถึง 3เที่ยวก้ไม่เจอจึงพากันกลับโรงพัก ก่อนกลับได้กำชับว่าจะมาใหม่ในวันพรุ้งนี้ตอนเช้า เพื่อสอบถามเอาความจริง

รุ่งขึ้น…ขุนพันธ์และลูกน้องชุดเดิมกลับมายังบ้านนายกลับ พบแต่ลูกเลี้ยงอยู่คนเดียว จึงได้ทราบว่าเมียนายกลับยังไม่มา พร้อมกับเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทราบ

ขณะที่ตำรวจขึ้นไปค้นบนบ้าน นายกลับก็ยืนอยู่ข้างๆลูกเลี้ยง แต่ตำรวจไม่เห้นกันเอง เมื่อตำรวจกลับหมดเเล้วนายกลับจึงสั่งให้ลูกเลี้ยงขึ้นไปเอาปืนกับเครื่องรางมาให้ ลูกเลี้ยงได้บอกกับนายกลับว่า

”ตำรวจขึ้นไปค้นตั้งหลายเที่ยว คงเอาไปหมดเเล้ว”

”ของยังอยู่ ตำรวจเอาไปไม่ได้” นายกลับบอก

”งั้นพ่อขึ้นไปเอาเองเถอะ” ลูกเลี้ยงเกี่ยง

”บ้านนี้ข้าจะไม่เหยียบอีก 7 ปี เพราะไอ้นายร้อยคนนั้นได้ทำไว้หลายอย่าง”

ลูกเลี้ยงจึงขึ้นไปเอาให้ นายกลับบอกว่าจะเดินทางไปอยู่ตรังผู้กองมือปราบได้ถามต่อไปว่า นายกลับถูกตำรวจยิงเป้นไงบ้าง ลูกเลี้ยงตอบว่า…

”บวมระหว่างสะบัก โตเท่าผลส้มหัวจุกเห้นจะได้”

ประมาณปลายปี 2485 ขุนพันธ์ได้ย้ายไปอยู่จังหวัดชัยนาท และย้ายกลับมาพัทลุง ในปี 2492 นายกลับอายุมากแล้ว ไม่ได้ประพฤติเช่นดังก่อน มาอยู่ที่บ้านเมียนาวง พอรู้ว่าขุนพันธ์กลับมาแกก็ย้ายหนีไปอยู่เมืองตรังทันที?

แม้ขุนพันธ์จะฝากข้อความผ่านไปยังอาจารย์นำว่าตนเองอยากพบสักครั้งหนึ่งที่พัทลุง แต่นายกลับไม่ยอมมาพบ โดยนายกลับบอกฝากคนมาว่า

”นายร้อยคนนั้นไว้ใจไม่ได้ มันยิงกูทีหนึ่งแล้ว กูไม่ขอพบ”
เป็นอันว่าคนทั้งสองไม่ได้เจอกันจนแล้วจนรอด!

สำหรับตอนนี้ขอมอบ◎พระคาถารอด◎

นะรา นะระ หิตังเทวัง นะระเทเรหิปูชิตัง นะรานัง กะมะปังเกหิ นะมามิสุคะตังชินัง

ใช้สวดภาวนาเมื่อสถานการณ์ไม่ค่อยดีเช่น รู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตาม ถูกปองร้าย อันตรายกำลังเข้าใกล้ก็ให้ท่องคาถานี้เพื่อให้รอดพ้นอันตรายได้อย่างไม่คาดฝัน

ขอบคุณขอมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: