เส้นทางมือปราบพระกาฬ ตอนที่ 33 บุกอาณาจักรไบคาน (ชลอ เกิดเทศ)

ลังได้รับรายงาน หัวหน้าตำรวจเมืองลิง สั่งการให้ตำรวจชุดดังกล่าวไม่ต้องพัก ให้เดินทางต่อไปที่จังหวัดกาญจนบุรี เพราะรู้ว่า ไอ้หยองเพลย์บอยจอมโหด น่าจะหลบหนีไปอยู่กับ “ดาอ้วน” แขกปาทานอีกกลุ่มที่ขยายอิทธิพลไปอยู่ด้านฝั่งตะวันตกของประเทศ

นอกจากการข่าวของชลอจะกว้างขวางในหมู่นักเลง และซุ้มมือปืน โดยเฉพาะทางเหนือแล้ว

นายตำรวจหนุ่มคนนี้ยังมีสายข่าวอยู่ในกลุ่มแขกปาทาน ที่พอจะรู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าพ่อไบคาน โดยเฉพาะลูกชายเพลย์บอยตัวดีอีกด้วย

เข้าทำนอง “เกลือจิ้มเกลือ”

เพราะนอกจาก ไอ้หยอง จะก่อกรรมทำร้ายคนไทยแล้ว ในกลุ่มแขกปาทานด้วยกัน ไอ้หยองก็ยังสร้างวีรกรรมไว้มาก

ส่วนใหญ่จะเป็นการขัดผลประโยชน์ในเรื่องเนื้อวัวเนื้อควาย สัมปทานการซื้อขาย และตลาด รวมไปถึงการเรียกเงินค่าคุ้มครอง

โดยเฉพาะพวกแขกปาทานกลุ่มลุมพลี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเสี่ยหยอง มาตลอด

ประกอบกับนายตำรวจหนุ่ม เคยรับราชการอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งยังเป็นรองสารวัตร กระทั่งเป็นผู้กองเมือง

ความสัมพันธ์ระหว่างเขา และกลุ่มปาทานลุมพลีเป็นไปด้วยดีมาตลอด ตามมอตโตส่วนตัว

“นกมีขน คนมีพวก ไม่งั้นบินสูงไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม ชลอเดินเกมที่เป็นแต้มต่ออย่างรัดกุม ไม่ประมาทฝีมือคู่ต่อสู้มาเฟียต่างชาติโดยเฉพาะข้อกฎหมาย เพราะยกนี้ไม่ใช่ยกแรกที่ต่อกรกับไอ้หยอง

ก่อนหน้านี้ เคยได้ประมือกันมาบ้างแล้ว….

คนสนิทชลอไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ อีกทั้งตัวเสี่ยหยองเอง ก็รู้ดีเช่นกัน

ขณะเดียวกัน สุเหร่าแห่งหนึ่งในตำบลปากแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

บรรดาศาสนิกมุสลิมพากันทยอยเดินออกมาหลังปฏิบัติศาสนกิจ “ละหมาด”เป็นที่เรียบร้อย

แต่ถ้ามีใครช่างสังเกต คงจะเห็นชายวัยฉกรรจ์แปลกถิ่น 2 คน แต่งกายคล้ายมุสลิมทั่วไป เดินออกจากสุเหร่า ก้าวขึ้นไปนั่งอยู่ในรถเบนซ์สีเขียวใบตอง ก่อนรถเก๋งยุโรปคันนั้น จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากหน้าสุเหร่า

คนเมืองกาญจน์ย่านนั้นรู้ดี รถเบนซ์คันนั้นเป็นของ “ดาอ้วน”ปาทานใหญ่ในจังหวัด

แต่ที่หมายปลายทางของรถเก๋งสุดหรูคันนี้ ไม่ได้วิ่งกลับไปที่บ้าน“ดาอ้วน ผู้เป็นเจ้าของ กลับบ่ายโฉมวิ่งมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ

เป้าหมายคือบ้านนายทหารใหญ่ ยศพันเอก มากบารมีผู้หนึ่ง ย่านสีลม

ภายในรถที่กำลังเร่งความเร็ว คนขับผู้ทำหน้าที่สารถีให้กับอาคันตุกะต่างถิ่น และเป็นคนขับรถประจำตัวของ ดาอ้วน เอื้อมมือเร่งโวลลุ่มแอร์คอนดิชั่นเพิ่มความเย็น ทำให้อากาศภายในรถเย็นสบาย ผิดกับอากาศภายนอกที่เริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นมาตามลำดับ

ส่วนชายอาคันตุกะที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับ ถึงแม้จะนั่งนิ่ง แต่สายตาสอดส่ายเพ่งมองรถแต่ละคันที่วิ่งผ่านไปมาอย่างระแวดระวัง

ที่สำคัญ ในมือขวาที่วางอยู่บนตัก กำด้ามปืนขนาด 11 มม.กระบอกดำเป็นมันเลื่อม ถูกซุกอยู่ระหว่างต้นขาทั้ง 2 ข้าง

หากแต่พร้อมใช้เหนี่ยวไกได้ตลอดเวลา

ผู้ที่กำด้ามปืนกระบอกนั้นคือ ชา ปาทาน มือปืนคู่ใจเสี่ยหยอง เจ้าพ่อชัยนารายณ์ ที่ถูกมือปืนลึกลับยิงถล่มภายในไร่ที่ลำนารายณ์ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะขับรถไปกับเสี่ยหยอง ผู้เป็นลูกพี่

เมื่อ ชา ปาทาน นั่งอยู่เบาะหน้า ชายคนที่นั่งอยู่เบาะหลังจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่อดีตเพลย์บอยเจ้าสำราญแห่งวงการบันเทิง เจ้าพ่อชัยนารายณ์

แต่สภาพของชายหนุ่มเจ้าสำอางยามนี้ ช่างตรงกันข้ามที่เคยเห็นตามปกติ ใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลา และดูมีเสน่ห์  ณ ตอนนี้กลับปรากฎหนวดเคราเขียวครึ้มเหมือนห่างใบมีดโกนมาหลายวัน อีกทั้งยังใส่แว่นกันแดดปิดบังสายตาแข็งกร้าว

ถึงเสี่ยหยองจะนั่งเงียบ แต่ในใจกลับพุ่งพล่าน

เขาเชื่อว่า นายตำรวจคู่ปรับอย่างชลอ ต้องส่งคนมาตามถึงที่นี่ เพราะรู้ดี 1 ในพันธมิตรที่เชื่อใจได้ของเขาคือ ดาอ้วน ลูกน้องเก่าไบคานผู้พ่อ

การอ่านเกมของคู่ปรับนายตำรวจไทยที่เขาเคยวางแผนยิงถล่มตั้งแต่เมื่อครั้ง ชลอ มารับราชการเป็นรองผู้กองเมืองที่ลพบุรี หลังย้ายมาจากรองผู้กองเมืองพระนครศรีอยุธยา เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

ครั้งนั้น นายตำรวจหนุ่มเลือดร้อนวัย 20 ต้นๆ ไม่กลัวใครอย่างชลอ กล้าที่จะมีเรื่องกับเขา และ “หลาน้อย-ธงชัย พงษ์สว่าง”พี่ชายต่างมารดา ทายาทไบคาน ภายในร้านอาหารกลางเมืองลพบุรี

เป็นการปะหน้ากันครั้งแรก

เหตุการณ์ในวันนั้น เขา และพี่ชาย คิดว่าชายหนุ่มหุ่นมะขามข้อเดียวที่แต่งตัวแบบสบายๆ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ที่นั่งเฮฮาอยู่โต๊ะข้างๆเป็นแค่ตำรวจชั้นประทวน เพิ่งบรรจุลงโรงพักใหม่ๆ เพราะคนที่ร่วมโต๊ะส่วนใหญ่เป็นตำรวจที่คุ้นหน้าคุ้นตา และไม่กล้าตอแยกับนักเที่ยวมากบารมีอย่างเขา

มารู้ว่า ชลอ เป็นตำรวจที่ไม่เหมือนคนอื่นอย่างที่เขาเคยเห็น

ต่อเมื่อปืนลูกโม่ .357 ขนาด 6 นิ้ว ที่ชลอ ชักออกมาจากซองปืนคาดไหล่ด้วยความเร็วจิ้มตรงมาที่หัวของเขา ขณะที่เขา พร้อมลูกน้อง 2-3 กำลังสืบเท้าก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าท่าทางเอาเรื่อง เพียงเพื่อประกาศศักดาให้รู้ว่า เขาเป็นใครเท่านั้น…

“กูรู้ว่า มึงเป็นลูกเต้าเหล่าใคร  แต่อย่ามายุ่งกับกู…”

แค่นี้ก็ส่งผลให้เหตุการณ์ในคืนนั้นยุติ เมื่อ “หลาน้อย” ผู้พี่ที่ดูสุขม พาเขากลับออกจากร้าน เพราะยังไม่รู้ว่า ชายหนุ่มที่ถือปืนอยู่ในมือเป็นคนแบบไหน

ชลอไม่ยอมศิโรราบ เหมือนตำรวจคนอื่นที่เขาโยนเศษเงินให้ใช้ แถมจ้องจะเอาคืนหลัง ทายาทไบคานเปรยๆกับพรรคพวกแขกปาทานว่า ต้องหากำจัดนายตำรวจคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นจะตาย

แต่เรื่องกลับไปเข้าหูนายตำรวจพวกเยอะอย่างชลอ เสียก่อน

นอกจากตำรวจคนนี้จะระวังตัวแล้ว กลับกัน ทายาทไบคานอย่างเขา ต้องระวังตัวเหมือนกันด้วย เพราะมีเสียงชลอคำรามกลับมายังเขา..

“มาลองกันสักตั้งไหม ใครกันแน่ที่จะต้องลงนรกก่อน ”

เจ้าพ่อชัยนารายณ์เพ่ิงมาสบายใจก็ต่อเม่ือ ชลอย้ายออกจากลพบุรีไปเป็นผู้บังคับกองที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

แต่ต้องมาระแวดระวังตัวอีกครั้ง เมื่อ ชลอ ย้ายกลับมาเป็น รองผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี อีกคำรบ

คราวนี้ เขาต้องประจันหน้ากับคู่ปรับเก่าอีกครั้ง เมื่อ ไบคาน ผู้พ่อ ใช้ให้เขาขับรถไปหานายตำรวจหนุ่มผู้นี้ที่กองกำกับ

เขารู้ว่า ไบคานผู้พ่อกับนายตำรวจคนนี้สนิทสนมกันพอสมควร

แต่ส่วนตัวเขากับชลอ ภายในใจต่างคนต่างรู้ ความแค้นเก่าไม่มีจาง

ถึงจะเป็นทายาทเจ้าพ่อไบคาน แต่ช่วงนั้น เวลาไปไหนมาไหน ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะรู้ว่า ชลอ เปลี่ยนไปเยอะตั้งแต่เป็นผู้กองเมืองพระนครศรีอยุธยา

เขารู้จากกลุ่มแขกปาทานที่เป็นพวกเขาในอยุธยาว่า พวกแก๊งลักพระที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม  และที่หายหน้าหายตาไปหลายคน

เป็นฝีมือ ชลอ !!!

แต่ถึงจะรู้ เจ้าพ่อชัยนารายณ์ยังไม่เลิกวางแผนหาทางเก็บนายตำรวจหนุ่มคนนี้อยู่ตลอด

แต่หาโอกาสสังหารชลอ ไม่ได้ซะที

จนในที่สุด ชลอเลื่อนยศขึ้นไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

ถึงอยู่คนละจังหวัด แต่เสี่ยหยองกลับต้องมาปวดหัวอีกครั้ง

เมื่อส่งบังคุดขึ้นไปยิงนายอำนาจ หรือประกอบ สิงหสกุลไกร คู่กรณีที่หนีตายจากอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไปอยู่จังหวัดตาก แต่กลับถูกชลอจับได้ โดยบังคุดรับสารภาพว่า เพลย์บอยหนุ่มเชื้อไขไบคานเป็นผู้ว่าจ้าง

เขาต้องให้ไบคานผู้พ่อ ช่วยวิ่งเต้นคดี ถึงจะช่วยเหลืิอไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังถ่วงเรื่องให้ช้าลงได้

แต่สำหรับครั้งนี้ เขากลับเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ไม่นึกว่าจะต้องหนีหัวซุกหัวซุน หนีคดีอาญาบ้านเมืองจนแทบหาที่ซุกหัวนอนในเมืองไทยไม่ได้

ส่วน ชลอ ที่อยู่ระหว่างการนำกำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่อำเภอ เข้าตรวจค้นฟาร์มกว้างใหญ่ของไบคาน พงษ์สว่าง ริมถนนสายสระบุรี-หล่มสัก  ตำบลชัยนารายณ์ และบริเวณรอบๆ รวมไปถึงบ้านพักที่ใช้เป็นเรือนหอของ ไอ้หยองกับนางเอกสาวสวยนัยน์ตาชวนฝัน วันดี ศรีตรัง ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้า

บ้านหลังใหญ่โตอดีตเรือนหอ ในวันนี้เงียบเหงา มีแค่แม่บ้านไม่กี่คนดูแลอยู่เท่านั้น

จากการตรวจค้นภายในอดีตรังรักเสี่ยหยอง ลูกน้องชลอ พบปืนไรเฟิล ทะเบียน กท. 1891585 พร้อมกระสุนปืนเอ็ม 16 เป็นร้อยนัด แส้หนัง ไม้กระบอง ที่เอาไว้ทำโทษชาวบ้านที่บุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ยาสลบชนิดสเปรย์ฉีด สัญญาเกี่ยวกับการสละที่ดินของชาวบ้านที่ถูกเก็บไว้ภายในตู้เอกสาร

ชลอสั่งให้ยึดสิ่งของทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งสุ่มเอากระสุนปืนเอ็ม 16 บางนัดไปยิงเก็บปลอกกระสุน ส่งเปรียบเทียบกองพิสูจน์หลักฐาน เกี่ยวพันคดีใดบ้าง โดยเฉพาะคดีที่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดลพบุรี และใกล้เคียง

ชลอสังเกตได้ ภายในฟาร์มอันใหญ่โตเนื้อที่นับหมื่นไร่ ช่างเงียบเหงาผิดปกติบรรดาคนงานในไร่ ล้วนพากันปิดปากเงียบ ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนแม้แต่น้อย

ส่วนบรรดาลิ่วล้อ โดยเฉพาะพวกมือปืน คาดว่าคงนกรู้หนีออกไปตั้งหลัก เพราะรู้ว่ารังโจรแห่งนี้ไม่ได้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ภายหลังกลายเป็นข่าวดังหลายวันติดต่อกัน

“เฮ้ย…ไอ้หนุ่ม มึงไม่รู้เลยเหรอว่า พวกนี้มันหลบหายไปตั้งแต่ตอนไหน…”

ชลอสุ่มถามหนึ่งในคนงานในไร่ไบคาน อายุอานาม  30-35  ปี ที่นั่งรวมกันอยู่หน้าหลุมถ่าน ประมาณ5-6 คน

“ไม่ทราบครับนาย …ไม่ทราบจริงๆ คนที่จ่ายเงินเดือนพวกผมก็พลอยหายไปด้วย และถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกผมคงต้องไปหางานทำกันใหม่ครับ…”

คนงานหนุ่มวัยฉกรรจ์บอกกับนายตำรวจหนุ่ม

“สำเริง คุณเอากำลังเข้าไปตรวจสอบหลุมถ่าน ตรวจให้หมดทุกซอกทุกมุม ตรงไหนมีลักษณะเป็นหลุม เป็นรอยขุดกลบน่าสงสัยก็ขุดขึ้นมา เผื่่อมันจะฝังศพ หรือฝังปืนไว้…..”

ชลอ สั่งการกับพันตำรวจตรีสำเริง มุยคำ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาล ท่ามกลางอากาศที่เริ่มร้อน เพราะเริ่มสายขึ้นเรื่อยๆ

พันตำรวจตรีสำเริง รับคำสั่ง พร้อมเรียกร้อยตำรวจตรีตึก พลอยกระจ่าง หัวหน้าตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ออกกระจายกำลังตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัย ในอาณาจักรไบคาน

เน้นไปที่หลุมถ่าน และบ่อน้ำ ตามที่เคยได้ยินว่ามีการเผาศพ รวมถึงเอารถบรรทุกน้ำมัน รถแทรกเตอร์ที่ปล้นมาถอดเอาอะไหล่ออกขาย ส่วนซากรถโยนทิ้งน้ำ

ไม่ถึง 10 นาที พันตำรวจตรีสำเริง และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่แยกย้ายกันสุ่มตรวจหลุมถ่านต้องสงสัย พากันเดินเข้าไปดูหลุมถ่านหลุมหนึ่ง ที่มีชาวบ้านเป็นคนพาชี้

นายตำรวจหนุ่มหัวหน้าโรงพักชัยบาดาล ใช้ไม้เขี่ยโลหะชิ้นหนึ่งออกจากกองขี้เถ้า

มันเป็นหัวเข็มขัดนักศึกษาครูจังหวัดเชียงใหม่ แต่ที่ตะลึงไปกว่านี้ เมื่อเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งคลุกอยู่ในหลุมถ่าน

มันเป็นหัวกะโหลกมนุษย์

“นายๆ นายๆ เจอแล้ว…..”

กราบขออนุญาต : ชลอ เกิดเทศ
ที่มา : Cops-magazine
โดย : กิตติพงศ์ นโรปการณ์

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: