เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 65 บำเหน็จมาเฟีย (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

นับแต่วันยกขบวนไปรับขวัญมังกรดัง เก๊าม้าเก็ง หน้าคุกบางขวางแล้ว วันรุ่งขึ้นผมก็ย้ายไปอยู่แฟลต “อภิญญา” ย่านพระโขนงกับเพื่อนพ้อง เช่น ปุ๊ระเบิดขวด ดำเอสโซ่ จบหลังวัง ตาลสุทธิสาร และ ลพสูติ โดยมีนักบู๊สะพานเหลืองอดีตมือชงกาแฟให้ ป๋าหง่า ณ ลาดยาว เต็งโก้ เป็นสปอนเซอร์ในการนี้ด้วยความเต็มใจ

และนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมได้กลมกลืนอยู่ในกลุ่มเรียกค่าคุ้มครองตามแหล่งประกอบกิจกรรมเถื่อนในเมืองหลวงเพื่อรวมทุนเปิดธุรกิจเถื่อนสายอีสานตามแผนเดิม อย่างไรบนถนนที่เรา ๗ คนตระเวนทำธุรกิจทุกค่ำคืนนี้มิได้มีกลุ่มเราแต่เพียงกลุ่มเดียว ยังมีกลุ่ม เก๊า ม้าเก็ง “๓ มังกรวงเวียนฯ” เช่น ล้อ, ซาเก๊า และโอเล้ง ก็ส่งมือดีกลุ่มหนุ่มเลือดมังกรของตนออกเก็บ “ส่วย” เช่นกัน การปะทะจึงเกิดขึ้นเนืองๆ

เฉพาะทีมของพวกเราซึ่งนักบู๊หลายบางพูดเข้าหูเป็นกลุ่มพุ่งแรงในหมู่ผู้พิทักษ์กติกาเถื่อนกำลังถูกจับตามองจากทุกฝ่าย ซึ่งเมื่อต่างรู้ตัวว่าตนอยู่ในสถานะเช่นไรจึงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ด้านสุมาอี๋กับเก๊าตี๋ น้องชายเก๊า แม้อาชีพเราจะขัดกันบ้างในด้านผลประโยชน์ก็มิได้หมางใจกัน ยังคงไปมาหาสู่กันปกติดังกล่าว ผมจึงได้รู้จักจากปาก ๒ มังกรถึงสภาพความตกต่ำของเก๊าซึ่งมองได้จากเหล่าสมุนที่เคยใกล้ชิด เช่น ตี๋น้อย หยุ่นฝ่า หง่า สำเหร่ มีน เกียย้ง ชั่ง โรงหมู ชิคาโก้ ทุม เล่าถิ และก่งก๊ง ต่างไม่ยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่อเก๊าสักราย

เมื่อมังกรไร้กงเล็บ บรรดาเสี่ยใหญ่นายทุนผู้เคยให้การสนับสนุนและเชื่อถือในฝีมือเก๊าก็พากันชะลอการลงทุน คอยศึกษาเกมตามวิสัย เก๊าเลยพล่านสำแดงอารมณ์ร้ายจนไม่มีใครเข้าหน้าติด มิหนำซ้ำยังดื่มเหล้าจัดแม้ความจริงเก๊าเกลียดเหล้าและไม่นิยมดื่มหากไม่จำเป็น ครับ ความทุกข์เพื่อนแม้พวกเราทุกคนรับรู้ แต่ก็ช่วยรุ่นพี่ไม่ได้เนื่องเรามีเป้าหมายตะกายหนีให้พ้นจากเมืองหลวงอยู่แล้ว และแล้วบทบาทเก๊า ม้าเก็งหลังพ้นบางขวางได้ปรากฏขึ้นเป็นข่าวแรกเมื่อเก๊าฉายเดี่ยวขึ้นไปเบี้ยวบ่อนซาเก๊า ๑ ใน ๓ มังกรวงเวียนฯ ๒๒ พร้อมรีดทรัพย์แคชเชียร์ประจำบ่อนไป ๑๐,๐๐๐ บาท โดยสะดวกโยธิน

แต่ประหลาด ล้อ วงเวียนฯ ส่งตี๋น้อยเข้าเคลียร์เรื่องจนบังเกิดเสียงสรรเสริญจากผู้คนในวงการดับบารมีเก๊าสิ้นเชิง และจากการกระทำของล้อ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นเจตนาดีหรือร้ายได้ทำให้เก๊าออกอาละวาดเอาเกือบทุกบ่อนที่เขาไม่พอใจ จวบค่อนรุ่งของวันนี้ขณะหลับสนิทในห้องพัก ปรากฏเสียงเคาะประตูห้องดังรัวกว่าปกติก็พรวดพราดลุกจากเตียงไปเปิดไฟ พลางถาม

“ใครน่ะ”

เสียงห้าวๆ ของนักบู๊สุทธิสารดังชัดหูในความเงียบใกล้อรุณ

“เรา…ตาล”

สิ้นคำ ผมบิดล็อกเปิดประตูห้องก็พบตาล, จบ, ลพ, ดำ และปุ๊ครบทีมอยู่ในชุดพร้อมเดินทางยิ่งสงสัยหนัก ตาลกล่าวต่อสุ้มเสียงเดิม

“เต็งโก้โทร.มาบอกเมื่อกี้ว่าเฮียเก๊าถูกยิงตายในวัดยานนาวาตอนตี ๓ กว่านี่เอง…ไปดูกัน เปี๊ยก”

เรื่องนี้ไม่ไช่เรื่องตลก ผมจึงไม่ยอมเสียเวลาซักหารายละเอียด รีบจัดการเปลี่ยนอาภรณ์ร่วมเดินทางสู่ที่ตายเก๊า ม้าเก็งในบัดนั้น

ฟ้าสว่างแล้ว เก๋งญี่ปุ่นสีครีมพาหนะของเราเคลื่อนผ่านประตูวัดยานนาวาเข้าไปจอดยังลานจอดรถท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจกับชาวบ้านชาย-หญิงย่านบางรักเดินเข้าออกพลุกพล่าน เสียงไซเรนดังระงมไปทั้งวัด เรา ๖ คนซุกปืนซ่อนไว้ในรถพร้อมปิดล็อกประตูเรียบร้อยก็แยกย้ายกันเดินปะปนชาวบ้านผ่านเรือนสำเภาปูน กุฏิพระเณรออกไปยังข้างวัดซึ่งมีคูคลองตื้นเขินคั่นไว้เป็นเขตธรณีสงฆ์ บริเวณชายคลองมีสะพานไม้ทอดยาวเป็นทางเดินสู่เขตชาวบ้าน ขณะนี้เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์ฯ ๕ นายลุยโคลนลงคลองตรวจแผลกระสุนปืนจากร่างอาบเลือดผสมดินโคลนของเก๊าในสภาพคว่ำหน้าอย่างละเอียดช่างภาพหนังสือพิมพ์พล่านบันทึกภาพพัลวัน

ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่นัก หมึก ตรอกทวาย, สุมาอี้, เก๊าตี๋, เล็ก ต่วน พร้อมญาติผู้ใหญ่ยืนหน้าซึม บ้างก็ร่ำไห้ เฉพาะ “เจ๊หลั่น” พี่สาวคนโตปล่อยโฮจนผมใจหวิว พักใหญ่เจ้าหน้าที่ฝ่ายมูลนิธิ ๔ นายลงไปเคลื่อนย้ายศพขึ้นไปไว้บนสะพานแล้วตักน้ำเทราดล้างคราบเลือดดินโคลนจนสะอาดจึงห่อคลุมด้วยผ้าดิบยกขึ้นใส่บ่าแบกไปขึ้นรถมูลนิธิซึ่งเปิดไซเรนเร้าหูอยู่ นาฬิกาบนข้อมือผมบอกเวลา ๘ นาฬิกาตรง สภาพภายในวัดคืนสู่ปกติฝ่ายเจ้าหน้าที่ถอนกำลังกลับหมดแล้ว เรา ๖ คนยืนเตร่คอย ๒ มังกรม้าเก็งเอ๋า อยู่ใต้ร่มไม้ยังลานจอดรถมาพักใหญ่ ชักเอะใจได้เดินย้อนกลับไปดูยังที่เกิดเหตุพบอี้กับเก๊าตี๋ ยืนโต้แดดอยู่ที่เดิมพร้อมขุนมีด เล็ก ต่วน ส่วนบรรดาญาติผู้ใหญ่คงกลับหมดแล้ว

“พวกเราทุกคนขอแสดงความเสียใจด้วย” ประโยคแรกจากปากผม

สองพี่น้องยิ้มกร่อย อี้กล่าวเสียงพร่า “เณรที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเฮียถูกยิงฟุบตรงมุมกุฏิโน่น แล้วยังวิ่งหนีไปถูกตามยิงบนสะพานจนกระเด็นตกคลอง”

“มันยิงกันกี่คน” จบ หลังวังซัก

“เณรบอก ๒ คน มันยิงอย่างใจเย็นจนหมดกระสุนแล้วใส่ยิงอีก” ประโยคท้ายสุดอี้เน้นคำ ตาวาว

“แม่งโหดสิ้นดี” เก๊าตี๋คำราม ส่ายหน้าไปมา

ขณะนั้นเสียงรองเท้ากระทบพื้นถนนซีเมนต์ดังบอกจำนวนหลายคนดึงสายตาพวกเราหันไปมอง เก๊าตี๋พึมพำ คิ้วขมวด

“เจ๊ยังไม่ยอมกลับซะที”

พี่หญิงนางเดียวของตระกูลพาร่างอวบขาววัย ๔๐ ปีแต่งกายสะอาด ใบหน้าขาวซีดเผือก ตาแดงก่ำปรี่มาหาพวกเราพลางจับตาที่สองน้องชาย กล่าวเสียงใสไม่วายสั่น

“รอดูอะไรอีกล่ะ หาเรื่องฆ่ากันอีกละสิ”

เก๊าตี๋โต้บอกอารมณ์ “เจ๊เป็นผู้หญิงอยู่เฉยๆ เถอะ”

พี่สาวใหญ่หน้าตึงทันใด “ตี๋…แล้วผู้หญิงคนไหนวะที่คอยวิ่งเต้นคอยเยี่ยมคอยประกันลื้อในคุก”

เรา ๖ คนชีกร้อนตัวถือโอกาสละจากให้เพื่อนถกกันระหว่างเครือญาติไม่ทันลันมุมกุฏิเสียงเจ๊หลั่นบอกระคนสะอื้นตามหลัง

“อี้กะตี๋ เจ๊อุ้มเลี้ยงลื้อได้แต่ตัวจริงๆ หรือ”

ที่สุดฉากชีวิตสั้นๆ หลังพ้นนรกบางขวางของเก๊า ม้าเก็งได้ถูกเสนอเป็นข่าวอาชญากรรมพิเศษขึ้นพาดหัวในวันต่อมาอย่างเกรียวกราว ทว่าความดังไปทั่วประเทศขนาดนั้นคงไม่ “สะ” ใจ เก๊าตี๋ยังอหังการให้สัมภาษณ์นักข่าวในวันต่อมาประกาศล่าผู้เกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชายด้วยชีวิตจนดังระเบิดสมประสงค์ และแล้ววันอันควรบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์นักเลงได้อุบัติขึ้นภายในงานฌาปนกิจศพ เก๊า ม้าเก็ง ยังเมรุวัดยานนาวาเย็นวันนี้ เช่น พ่อค้า คหบดี เจ้าพ่อ เจ้าแม่ จัดบริการภาพยนตร์ ๓ จอก็ขึงตึงไว้กลางสนามหญ้าแลขาวพรืด

บรรดาแขกที่มาในงานมีสารพัดนักเลงสารพันโจรประมาณ ๒๐๐ คน รองลงไปได้แก่หมอนวดสาวกับโสเภณีย่านเยาวราช-ราชวงศ์อีกนับร้อย ก่อนประชุมเพลิงยามตะวันรอนปรากฏรถวิทยุ “ฉลามบก” ๓ คันเคลื่อนเข้ามาจอดสังเกตการณ์ ผมเองยืนอยู่เชิงบันไดศาลาตั้งศพสวดพระอภิธรรมกลางแขกเหรื่อร่วมพันคน เห็นใกล้เวลาประชุมเพลิงอีกทั้งสัปเหร่อกำลังช่วยกันยกโลงศพไม้จำปาบรรจุร่างนักบู๊ลงรถเข็นของทางวัดสู่เมรู จึงผละไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนตรงบันได แขกเหรื่อบนศาลาเริ่มเคลื่อนไหวลงไปยืนนั่งอยู่รอบๆ เมรุ เสียงปี่พาทย์ฆ้อง กลองดังกดบรรยากาศเขตอภัยทานให้สงบงัน พอสัปเหร่อตั้งศพบนเชิงตะกอนใกล้แล้วเสร็จ สุมาอี้กับเก๊าตี๋ก้าวยวบๆ ขึ้นไปบนเมรุสีหน้าบอกไฟอารมณ์รุนแรงอันไม่ปรากฏบ่อยนักจาก ๒ มังกรเบื้องหน้า ไล่ๆ กันกลุ่มญาตินำโดยเจ๊หลั่น พี่สาวได้เดินตามขึ้นไปพลางสะอึกสะอื้นชวนหดหู่ เรา ๖ คนได้แต่มองตากัน

“ลื้อจะทำกะผีพี่ชายลื้อแบบนั้นไม่ได้” พี่หญิงคนโตโวยวายลั่นเมรุ

“เจ๊อย่ายุงดีกว่า” เก๊าตี๋โต้ พลางปราดไปยังสัปเหร่อผิวคล้ำวัย ๔๐ ปี สั่งการราวจอมทัพ “ช่วยเปิดฝาโลงให้หน่อยครับพี่”

“อย่านะ” เจ๊หลั่นขวาง

อี้เข้าช่วยน้องชาย “เจ๊ปล่อยมันเหอะ ผมเองก็อยากเห็นหน้าเฮียเป็นครั้งสุดท้าย”

“ลื้อจะบ้าหรืออี้” เจ๊ตวาด

เก๊าตี๋หน้าแดงก่ำปราดไปทุบโลงศพดังตึง คำรามกร้าว “เมื่อไม่ยอมให้ดูหน้าก็ไม่ต้องเผา…ใครกล้าเผาก็ลองดู”

ทามกลางการโต้เถียงระหว่างกลุ่มญาติยังไม่ลงตัว เบนซ์เก๋งโออ่าคันหนึ่งปรากฏแก่สายตาทุกคนภายในงานพร้อมรถวิทยุติดตามอีกคัน สักครู่นักบู๊ภูธรนครบาลนับร้อยบริเวณลานกว้างก็ได้ปะท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกับคณะผู้ติดตาม แจ้งความประสงค์ขอพบเจ้าภาพใครคนหนึ่ง จึงรีบขึ้นไปตามเจ๊หลั่นบนเมรุลงไปพบท่าน ผบช.น. ยังศาลาสวดพระอภิธรรมกลางเสียงสอบถามหาเหตุชุลมุน ทันใดกลิ่นเน่าจากซากศพกระจายเหม็นตลบไปทั่วบริเวณนั้น ผู้คนพากันปิดจมูกจ้องตาไปบนเมรุเป็นจุดเดียว

“เก๊าตี๋มันเปิดโลงดูหน้าเฮียเก๊าจนได้” ลพ สูติบ่นพึม

ราว ๑๕ นาที ท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลและคณะพากันลงจากศาลากลับไปที่รถขับเคลื่อนจากไม่ต่างการมา สักครู่การปรากฏตัวของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ถูกเปิดเผยสู่พวกเราจากปากอี้ว่า ท่ามมาขอให้งดงานบันเทิง อ้างว่าผู้ตายเป็นอาชญาการ มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคมส่วนรวม การจัดงานบันเทิงมโหฬารดังกล่าวอาจมีผลให้เยาวชนซึ่งยังอ่อนด้อยประสบการณ์ยกย่องเป็นวีรบุรุษ ดังกล่าวทไให้ช่วงประชุมเพลิงมีแต่เสียง “สวด” จากนักบู๊พร้อมชาวบ้านที่รู้เห็นตามหลังท่าน ผบช.น. อย่างช่วยไม่ได้ ผมเองก็นึกฉุนฝ่ายรักษากฏหมายที่อ้างถึง “พฤติกรรม” ผู้ตายเพื่อรอนสิทธิภาพประชาชนขั้นพื้นฐานของผู้อยู่เช่นกัน

พิธีประชุมเพลิงลุล่วง จู่ๆ คำประกาศทางเครื่องขยายเสียงกล่าวขออภัยแขกที่มาในงานดังเอาสะดุ้งเฮือก

“เรียนท่านผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานนี้ทุกท่านโปรดทราบ บัดนี้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่จำเป็นขออภัยท่านขอร้องให้ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ…ขอย้ำอีกครั้งว่าได้โปรดอยู่ในความสงบเพื่อให้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นตัวบุคคลที่ต้องสงสัยว่าพกพาอาวุธผิดกฏหมายมาร่วมอยู่ในงาน”

สิ้นคำประกาศเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบซึ่งส่งกำลังมาซุ่มอยู่ประมาณ ๗๐-๘๐ นายเคลื่อนไหวดาหน้าเข้าหากกลุ่มคนรอบๆ เมรุทันที

“ฉิบหายแล้ว” ตาลหลุดปาก

จริงดังปากเพื่อน นักบู๊หลากหลายตัดใจเผ่นหนีแทนสละอาวุธในฉับพลัน พวกที่ลนลานหาที่ซุกซ่อนอาวุธเพราะยังเสียดายวิ่งกันขวักไขว่ บรรดาชาวบ้านชาย-หญิงหอบลูกจูงหลานมาปูเสื่อจองที่หวังชมภาพยนตร์ โขน ลำตัด หรือหมอลำ มิรู้เหตุพลอยตระหนกขวัญหายเมื่อเจ้าหน้าที่ยิงปืนขู่ เลยกลายเป็นจลาจลย่อย ณ เขตอภัยทานนั่นเอง ฟ้ามืดสนิท…ภายในวัดยานนาวาเปิดไฟสว่างจ้า เรา ๖ คนล่ำลาเจ๊หลั่น อี้และเก๊าตี๋กลับไปที่รถ ขับเคลื่อนออกจากถนนเจริญกรุงคืนรวงรังอย่างโล่งอก

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : The People
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: