3788. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 47 อาชีพนักเลง (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 47 อาชีพนักเลง (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

กลางแสงอาทิตย์ร้อนฉ่า ผมปั่นจักรยาน ๒ ล้อไปบนถนนลูกรังจากหน้าแดนโรงพิมพ์สถานที่เกิดงานปล้นอันไม่มีที่ใดในโลกเขาปล้นกัน อย่างอ่อนใจที่ “ศักดิ์” นักเลงกำลังถูกยาอุบาทว์พร่าผลาญไม่ละเว้นรุ่น อย่างไรพอปั่นรถเข้าแดนได้ผมตามหามหาเหน่, อนันต์ ยืนยง, แอ๊ด เสือเผ่น, รุ่ง รัชนี มาปรึกษาความถึงตำแหน่งงานที่เจ้าพ่อประตูน้ำชี้ทางเดิน ก็ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนเป็นอันดี เพราะเซ็งงานขุด ถาก แบกหามเต็มประดา ส่วนอนันต์ ยืนยง กับรุ่ง รัชนีสองศิลปินช่างเขียนภาพวิวบนมู่ลี่โรงงานจักสานนั้นไม่มีปัญหา เพราะรับงานไปเขียนอยู่หลังโรงงานอันเสมือนแกลเลอรี่ ที่พักผ่อน ครัว พร้อมห้องอาหารอยู่ในตัวก็สะดวกเช่นกัน จึงปั่นจักยานกลับเข้าที่ทำการขังเดี่ยว พบไอ้เดี่ยววัยลำพองผิวเหลืองทรงสูงเพรียวสักที่หน้าอกรูปอินทรีผงาดเล่นสีเต็มอก เด็กของมหาเหน่กำลังเดินออกจากที่ทำการในสภาพเปลือยท่อนบนล่อนจ้อน นุ่งกางเกงขาสั้นสีลูกวัวพับขาขึ้นทั้งสองข้าง เหงื่อท่วมร่าง ทักทายขึ้นก่อน

“หวัดดี่ พี่…ผมเอาของฝากจากญาติที่หน้าห้องเยี่ยมมาให้พี่ลอฝากให้พี่ตุ๊ ผมรอพี่อยู่เกือบ ๑๐ นาที จะออกไปตามอยู่แล้ว เผอิญพี่กลับมาพอดี”

“แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะ”

“พี่ลอบอกให้ฝากตำรวจหรือพี่ขึ้นไปให้ แต่ถ้าฝากตำรวจขึ้นไปผมก็อดค่า ‘ฝีมือ’ สิครับ”

ผมชักเซ่อกับการนำของญาติที่ฝากมาให้คนในคุกโดยเฉพาะบนขังเดี่ยวยังมีค่า “ฝีมือ” อะไรอีก อย่างน้อยก็ได้พระคุณจากน้ำใจผู้ได้ทุกข์ในที่แคบๆ โขอยู่แล้ว พอเลียบเคียงดูจึงทราบว่า “ฝีมือ” นั้นได้จากการวิ่งใบญาติ หรือหอบของเยี่ยมที่บรรดาญาติๆ จากภายนอกมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขออนุญาตเยี่ยมบุคคลอันธพาลแล้ว แต่ขาดอุปกรณ์ทางเครื่องขยายเสียงเรียกไปตามโรงงานหรือแดนต่างๆ เช่นปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จึงจัด “ม้าด่วน” หรือ “ม้าเร็ว” วิ่งใบญาติกับของเยี่ยมไว้ ๒ คนคือ “ไอ้เดี่ยว” กับ “ไอ้แป๊ะ” คอยเป็นสื่อแทนบุคคลอันธพาลเฉียดพันคนโดยปริยาย และเมื่อเป็นเช่นนี้ชาวนักเลงที่ได้รับของฝากหรือใบอนุญาตให้ออกเยี่ยมญาติจึงตกรางวัลเป็นค่า “ฝีมือ” รายละ ๑ บาท เป็นอย่างต่ำแก่ “ม้าด่วน” หรือ “ม้าเร็ว” ดังกล่าว

เมื่อทราบกติกานักเลงทุ่งบางเขนมีเช่นนั้น ผมไม่รอช้า จัดการเดินเรื่องตามมตินั้น จนลุล่วงแก่ทั้งสองฝ่าย คือทั้งพี่ตุ๊ ตลาดสมเด็จฯ กับไอ้เดี่ยว เสริจกิจเอาใกล้เที่ยง คิดว่าลูกพี่จะออกไปกินข้าวเที่ยงนอกคุก จึงรีบเข้าหาท่านที่ทำการ รายงานให้ท่านทำหนังสือขอตัว มหาเหน่, อนันต์, แอ๊ด และรุ่ง รัชนี แทนสี่พี่เลี้ยงที่คืนตัวให้ส่วนกลางแทน ท่านก็ถึงกับคิ้วย่นม ตาหยี พลางชี้ให้นั่งยังโต๊ะเก้าอี้ชุดเล็กเบื้องหน้าท่าน จึงนั่งในลักษณะหันข้างให้ท่าน สักครู่ ริมฝีปากหนาที่ปิดสนิทเปิดด้วยสุ้มเสียงเป็นกันเอง

“นี่เอ็งกะ ‘ชน’ กับพวกกุมารจีนเต็มที่เลยหรือ จึงเลือกตัวมาแต่ละคนล้วนเจ็บๆ ทั้งนั้น”

วาจาลูกพี่พลอยให้ผมรู้ว่าท่านก็ทราบเรื่องนี้ ทำไมจึงไม่จัดการในเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ จึงจำเปิดใจเรียนท่านเหมือนย้อนให้ท่านคิดบ้างว่า ผมเป็นใครและเมื่อท่านสวมบทให้ผมเต้นแล้วก็ควรให้ผมเลือกทีมงานที่มั่นใจว่าทำงานร่วมเต้นด้วยได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ผม “เซิ้ง” เพียงลำพังกับกลุ่มกุมารจีน เจ้านายกลับกล่าวลังเล

“เรื่องมันจะกระเทือนกับพวกเอ็งทุกคนนะ”

ผมต่อคำทันควัน

“เรื่องนี้ พวกผมสร้างขึ้นเองมันก็สมควรจบด้วยน้ำมือพวกผม ส่วน ๔ คนนั่นผมขอให้พี่รู้จักเรียกใช้ไหว้วานเขา เขาจะไม่ ‘แสบ’ กับพี่เด็ดขาด

พัศดีตรีพรูลมหายใจแรงพลางเอนร่างพิงพนักเก้าอี้ในท่าสบาย นัยน์ใต้คิ้วเข้มขมวดมุ่นทอดมองไปนอกที่ทำการ ผมสูดหายใจลึกเงียบกริบก่อนต่อคำ

“ผมเองก็ยังใหม่ในสายตาพี่ แต่มีจิตใจรักความถูกต้องรวมทั้ง ๔ คนที่ผมขอตัวด้วยครับ”

คอสิงห์ระดับพัศดีสะบัดกลับมองผมทันที

“เอ็งรู้ไหมว่าทั้งลาดยาวนี่ใครมันครอง”

“เสี่ยตงครับ” ผมระบุนามมาเฟียยาเสพติดที่เห็นพฤติกรรม

“แล้วพวกเอ็งทั้ง ๔-๕ คนนั่นจะรบกับมันหรือ”

ผมอยากทราบเรียนท่านว่า หากไอ้ตงโดดลงมาตักแกงในถังกะมือผมก็จะรบกับมัน แต่เลี่ยงไปว่า

“ระดับเสี่ยตงคงไม่กินแกงหลวงหรอกพี่”

“แต่ไอ้พวกห่านั่นลูกน้องมันทั้งน้าน”

“ผมอยากลองครับ”

ครั้งนี้ นัยน์ตาหยีเล็กคมกริบจ้องหน้าผมเขม็ง สีหน้าคล้ำกร้านแดดลมปรากฏยิ้มจางๆ ผมแอบกระหยิ่มในอก

“ตกลงว่ะ…เดี๋ยวพี่จะขอตัวไอ้ ๔ คนนั่นให้”

“ขอบพระคุณครับ”

“แล้วจะลงมือวันไหนวะ”

“มื้อเย็นนี้เป็นต้นไปครับ”

“เฮ้ย…ประนีประนอบกันก่อนซี่” ท่านแย้ง

“ผมขอเถอะครับพี่”

พัศดีดึงสายตากลับ จัดการเขียนบันทึกข้อความในบัดนั้น ผมนั่งสงบมองทุ่งบางเขนอันบางส่วนยังเป็นที่นารกเรื้อกลางเปลวแดดสาดระยับ แต่ไม่ร้อนเพราะที่ทำการเป็นทางลมระหว่างช่วงตึกพอดี แรงลมทุ่งจึงโกรกกรูเป็นระยะๆ โอ…ช่างเป็นคุกที่กว้างขวางสมราคาคุยว่า “ใหญ่” ที่สุดในเอเชียจริงแล้วและวันนี้กำลังพัฒนาคุณภาพคนให้เป็นอาชญากรเเข็งขันยิ่ง ทว่า วันใดล่ะจะถึงวันที่ไม่มีกำแพงทมิฬขวางทางตีนในอนาคต ครู่หนึ่งปรากฏเสียงพูดคุยดังเอะอะของนักศึกษาอาชญาวิทยากลุ่มใหญ่ ที่ไปทำงานก่อสร้างร่วมกับพนักงานก่อสร้างชาย-หญิงภายนอกเดินกลับเข้าแดน เสียงเครื่องจักรกลทุกชนิดเงียบจนรู้สึกคล้ายนั่งอยู่กลางทุ่งร้าง ต่อมาลูกพี่เสร็จกิจบนโต๊ะ พลางพลิกข้อมือซ้ายดูนาฬิกา

“เที่ยงพอดี เดี๋ยวพี่จะเดินเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ราวบ่ายโมงครึ่งคงมีหนังสืออนุมัติจากแผนกถึงเรา”

จบเรื่องขังเดี่ยวใช้เสมียนเปลืองกับลูกพี่แล้ว ท่านขี่จักรยานดิ่งเข้า “ทำเนียบ” หรือที่ทำการแผนกปกครอง ส่วนผมใช้ลายเซ็นเจ้าหน้าที่เซ็นให้ใบเดิมเดินกลับเข้าแดน ไปช่วยมหาเหน่กับ ๓ เพื่อนโยกย้ายสัมภาระในการหุงต้มอาหารส่วนตัวไปจัดไว้หลังที่กำลังลุยป่าหญ้าคาสูงท่วมหัวทำงานเหงื่อชุ่มโชกทั้งร่าง เหล่านักศึกษาน้องใหม่รุ่นเดียวกับผม ๑๕ คนก็อยู่ในกลุ่มนั้น เช่นนี้ ถือว่าผมเลือกทางให้ตนเองเดินถูกหรือผิด อันนี้ผมมิได้หมายถึงการทำงานหนัก เพราะงานอยู่ที่ใจ ผมหมายถึงภาระกิจที่จะทำให้เกิดประโยชน์บนความเสี่ยงกับเหตุวิวาทอีกชั่วโมงที่จะถึง กลับเห็นทุกคนไม่อาทร ซ้ำยังช่วยกันจัดล้างรถเข็น ๓ ล้ออันใช้บรรทุกถังข้าวแกงจนเอี่ยมอ่องทั้งรถทั้งถังบรรจุอาหาร ประมาณบ่าย ๒ โมงครึ่ง ดาราดังเจริญผล “บังมาน” ผู้สหายได้มายืนเรียกอยู่หน้าประตู จึงวิ่งไปหาพร้อมจับมือกันอย่างแรงที่โลกกว้างโคจรให้เราพบกันอีกในโลกกำแพง

“นายมาเป็นเสมียนที่ขังเดี่ยวนี่หรือ” มุสลิมหนุ่มถามพอได้ยิน

“ใช่…ทำไมหรือ?”

ดาราดังเจริญผลเหล่ตาไปยังพลตำรวจในป้อมพลางกระซิบ

“ระวังตำรวจเห็น นายเอานี่ไว้ใช้”

ด้วยอากัปกิริยาดังกล่าว จะให้ผมมัวซักไซ้สอบถามสาเหตุไม่ได้ จึงรับวัตถุ “เหล็ก” ภายในฝักแพรสีน้ำเงินคลุมอยู่มาเสียบเข้าซอกเอว

“เราจะไปลุ้นนายที่หน้าประตูใหญ่ในโรงครัว ขออัลเลาะห์จงอภิบาลเพื่อนด้วย” บังมานทิ้งคำก่อนจาก

ช่างน่ารักเหลือเกินสำหรับสหายผู้บรรลุศาสตร์โจรนามนี้ เพราะในความจริงแล้ว เมื่อคิดเป็นนักสู้ก็ต้องพร้อมสรรพด้วยศาสตราป้อมกันตน แต่บังมานมองว่าผมยัง “สด” สำหรับที่นี่ในสายตาเพื่อนเลยให้ไว้ใช้ พอเดินกลับเข้ากลุ่มเพื่อนที่พร้อมเตรียมเคลื่อนทัพ (เข็นรถ) รุ่ง รัชนี อดีตกระเบนธงเมืองระยองถามระคนยิ้ม

“บังมานให้ ‘เหล็ก’ ไว้ใช้หรือ”

แทนคำตอบ ผมดึงวัตถุที่เสียบติดเอวออกมา เปลือยฝักคลุมแพรสีน้ำเงินออก

“กริช!” รุ่งอุทาน

“สวยฉิบหาย” เสือเผ่นตาวาว

ใบกริชบางเฉียบคมกริบขาววะวับ ต้องแสงตะวันบ่ายเกิดประกายวาบวับน่าพรั่น

“ตำรวจมันมองใหญ่เลยเปี๊ยก” นันกระซิบ

ผมเก็บมีดชนิดกริชคืนฝักพลางเสียบคืนที่ มหาเหน่ผู้ทำหน้าที่บังคับรถออกแรงดันรถบรรทุกถังน้ำขนาด ๒๐๐ ลิตรตัดครึ่ง ๒ ใบเฉพาะข้าว แกง ส่วน อาหารสอง (ถ้าบังเอิญมี) จะใช้บรรทุกในถังคูลเลอร์แทน เคลื่อนออกจากประตูแดนทันที เสียงถังสะท้อน เสียงล้อรถบดบนถนนลูกรังดังครืนๆ มาถึงทำเนียบระหว่างทางแยกไปสู่แดนสูทกรรม พวกเราก็ปะชาวยุทธชื่อดัง สิงห์ ชาวอย, ตาล สุทธิสาร หรือ “ขุนตาล” และจบ หลังวังทำท่าคล้ายคุ้มกันรถเข็นอาหารให้กับนักโทษแดนโรงพิมพ์ ส่วนแดนอันธพาลมี ๓ ครูฝึก หมู่เทียน จ่าดอน และหมู่เชิดคุมเกมอยู่ คงมีพยาบาลเท่านั้นที่มีตำรวจ ๑ นายคุ้มกันมา มิน่าเล่า เป้าหมาย “ปล้น” จึงมุ่งมายังขังเดี่ยวซึ่งมีแต่นักบู๊โนเนมกำกับเกมกำลังขุดบ่อปลาขนาดใหญ่อยู่เป็นจุดเดียว มิหนำซ้ำเพื่อนยังเปิดทางให้นำขบวนอีกด้วย มหาเหน่จึงเคลื่อนทัพนำถังเปล่าผ่านเข้าประตูแดนสูทกรรมตามใบเบิกจากยอดอาหารเย็นที่แจ้งไว้ตอนเช้า จ่าดอน ฉลามขาว ศิษย์หลวงพ่อโอภาสีเดินเข้ามาบอก

“เราอยากให้ขังเดี่ยวมีคนคุมมานานแล้ว เปี๊ยกทำได้แจ๋ว ต่อไปพวกถูกขังเดี่ยวจะได้อ้วนเสียที…เดี๋ยว เปี๊ยกเอาถังไปรับกระทะแรกเลย เราตกลงกันแล้วให้ขังเดี่ยวรับก่อน…เชิญเลย”

สิ้นคำจ่าฉลามขาว หนุ่มร่างเล็กสักหัวสิงโตไว้กลางอก นามสิทธิ์ ปืนโต ดาราดังตลาดนานาตะโกนลงมาจากบนเตาแกงกระทะใบบัวอันร้อนระอุ

“แดนโรงพิมพ์เข้ามาได้”

ผมผินหน้าไปทางขุนตาลซึ่งคุมถังอาหารจากแดนโรงพิมพ์อยู่ พบเพื่อนพยักหน้าให้เข็นรถเข้าเทียบหน้าเตา จึงสวนคำสั่งกัน สิทธิ์ ปืนโตมองพวกเราคล้ายพบเรื่องประหลาด ผมบอกเพื่อนย่านเดียวกันชัดเจน

“สิทธิ์ พวกขังเดี่ยวน่ะช่วยตัวเองไม่ได้นะเพื่อน”

ร่างเล็กแลแกร่งโชกเหงื่อของเขาบนเตาเคลื่อนไหวไปหยิบพลั่วมากระชับแล้วตักแกงหน่อไม้ไก่ (ตามรายการ) ลงถังที่วางอยู่ในรถอย่างชำนาญราวค่อนถังจากนั้นก็ถอยรถไปรับข้าวแดง (ข้าวกล่อง) มาเกือบล้นถังพร้อมอาหารสอง “เต้าหู้ยี้” คนละ ๑ ก้อน จำนวน ๑๐๐ ก้อน ตามยอดเป๊ะ

เรา ๕ คน สบตากันก่อนเข็นรถออกจากโรงครัวโดยมีเพื่อนฝูงโบกมือให้จนไปออกประตูใหญ่ ท่ามกลางสายตานักบู๊นับร้อยที่แห่มาชมตามข่าว แม้กระทั่งเจ้าของกริชที่อยู่ติดกับเอวผม วงล้อรถหมุนผ่านชาวยุทธ์หลากหลายที่รู้จักและไม่รู้จัก ล้วนเรียกขานชื่อเรา ๕ คนสองฝั่งถนนที่สามารถหยุดเกมลำพองของกุมารจีนได้สำเร็จอย่างสันติ แล้วมื้อต่อไป และวันต่อไปล่ะ?

ดังนี้จะเรียกว่า “วีรเวร” หรือ “วีรกรรม” กันแน่ อย่างไรต้องขอชมความ “ขลัง” ในตัวบุคคลอันมี นัน, แอ๊ด, รุ่ง และมหาเหน่ เซียนล้วงกระเป๋ามือทองรุ่นพ่อเป็นอย่างสูง ที่เติมความ “ขลัง” จน “ศักดิ์สิทธิ์” จวบสยบพาลในหมู่มารได้ในที่สุด ลึกลงไปอีก นั่นคืออาชีพ “เรียกค่าคุ้มครอง” โดย “รีด” ชิ้นเนื้อ-ผัก ไปแต่พองามในแต่ละนามที่อาสาคุ้มครองต่อหนึ่งหม้อทุกมื้อเพื่อ “เลี้ยง” เด็กประดับบารมีนั่นเอง

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: