3773. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 32 กิเลสตัณหา (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 32 กิเลสตัณหา (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ยุทธการบุกสึกพระกลางธรณีสงฆ์ของพลพรรคดาวระเบิด กับเสือเอสโซ่ ที่ฟ้องอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นพร้อมปูมหลังนับแต่เริ่มกวนเมืองส่งให้ชื่อ แดงไบเล่ย์ ปุระเบิดขวด และ ดำเอสโซ่ ดังกระฉ่อนทั่วประเทศ บรรดาชาวยุทธ์หลายอาชีพจาก ซ่อง, โรงแรม, สถานเริงรมย์, หวยเถื่อน รวมไปถึงบ่อนกาสิโนล้วนกล่าวขานถึง ๓ นักบู๊หลายแง่ แต่ที่แน่ๆ พฤติกรรมนั่นท่านหัวหน้าปฏิวัติ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะควบตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจถึงกับเต้นผาง ด้วยวีรเวรของเพื่อนพ้องสวนทางกับนโยบายลดคดีทางอาชญากรรมและกวาดล้างผู้ประพฤติตนเป็นบุคคลอันตธพาลของท่านเต็มเท้า

จนสัปดาห์ต่อมา บ่ายวันนี้ ผลกระทบที่เพื่อนก่อไว้ได้สะท้อนออกมาเมื่อเจ้าพ่อโรงหมู เสี่ยกัง ขุนคลังท่านจอมพลแว่นดำ เรียกหมู่ด้องเข้าพบ ส่วนแอ๊ดเสือเผ่นกับผม ได้แหล่งสถิตใหม่ที่บ่อนไฮโลโคนไทรย้อยร่มครึ้มกับกับโรงบิลเลียดกลางสลัม สมองจึงไม่ว่างสำหรับคิดหรือมองสิ่งรอบตัว เช่นขณะนี้เสือเผ่นกำลังทำหน้าที่เจ้ามือไฮโล ผมเป็นหัวเบี้ยนั่งรับกินจ่าย ในท่าขัดสมาธิบนแผ่นกระดานภายในห้องอันสมมติเป็นบ่อนที่มีความกว้างยาวไม่เกิน ๑๐ ฟุต มีหน้าต่างรับลมอยู่บานเดียว เฟอร์นิเจอร์ประดับห้องมีปกนิตยสารปะติดข้างฝาทั่วไปหมด แรกๆระหว่างไอ้เผ่นเริ่มฝัดเต๋า มีพนันชาย-หญิงกับเด็กชายเต็มห้อง แต่ตอนนี้เหลืออยู่ ๔-๕ คน ความคึกคักจากลูกค้าและเจ้ามือจึงเนืองไป ผมเองนั่งกำแบงก์ไว้เต็มกำมือเหงื่อซุ่มจนแห้งก็จุดบุหรี่สูบ

เสือเผ่นตั้งเต๋า ลูกค้าจ้องตาเขม็งยังนิ้วที่กลิ้งเต๋าบนจาน ตั้ง ๔ ส่อง เอี่ยว หรือ ๑ จวบจนแอ๊ดหยิบถ้วยเตรียมครอบ เสียงหวูดเลิกงานแผดเสียงโหยก้อง แอ๊ดเหลือบตามองนาฬิกาบนข้อมือซ้าย มือขวายกถ้วยครอบลูกเต๋าขึ้นกรัตุกข้อมือวิบเดียว กรุ๊บ เต๋าทั้ง ๓ ลูกลงกระทบจานพร้อมกัน ทั้งเบากริบจนลูกค้ามองหน้า ไอ้เผ่นบอกยิ้มๆ

“ถ้าใครคิดว่า ๔ อยู่ แทงได้เลย ไม่อั้นเหมือนเดิม”

สิ้นเสียงเพื่อน เซียนสลัมเพศชายวัย ๑๐ ขวบ นุ่งกางเกงขาสั้นเปลือยท่อนบน ผมสีน้ำตาล ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสะกิดหัวไหล่อีกครั้ง พร้อมส่งเหรียญบาท ๔ เหรียญให้

“ต่ำ ๕ บาทพี่”

ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเซียน “ไอ้หอก มี ๔ บาท เสือกบอกแทง ๕ บาท”

“ติดไว้บาทนึงก่อน กระเดี๋ยววิ่งไปเอามาให้ ผมไม่เบี้ยวหรอกพี่ ตังค์บาทเดียว”

“หมดตูดแล้วหรือ”

“ครับ”

ผมรับเศษเหรียญนั่นใส่กระเป๋าเสื้อ เบนสายตาไปทางลูกค้า ๓-๔ คนที่กำเงินกะใจเจ้ามือเขย่าเต๋าหนีมากกว่าจะให้ ตาย หน้า ๔ จึงพากันโปะลงต่ำและ #โต๊ด ติดเอี่ยวต่ำสามต่ำ ตามฟอร์ม พอทุกคนวางเงินเรียบร้อย ไอ้สมนักค้าของหนีภาษีจากท่าเรือคว้าถ้วยไปตั้งกลางเสื่อ และบรรจงแง้มฝาถ้วยลุ้นเต๋าทีละลูก บ่อนทั้งบ่อนเงียบกริบเมื่อไอ้สมขานเต๋าต่อหน้าต่อตาเซียน

“สี่ สองดอก…หก”

“แดกอีก” เซียนเจ้าของเหรียญ ๔ บาท หลุดเสียงฉุน

ผมดึงแบงก์สิบจากมือยื่นให้ เซียนผมสีน้ำตาลเลิกคิ้ว นัยน์ตาดำกลมโตมองเงินในมือผม บอกอ่อนๆ

“ไฮโลออกสูงไม่ใช่เหรอพี่”

“เอาไว้ แล้วเลิกซะ เก็บเงินไว้แทงพรุ่งนี้บ้างเผื่อดวงดีอาจรวย” ผมตัดบท

“ขอบใจ” ชาวยุทธ์รุ่นเยาว์จากพื้นฐานรู้คุณ

เสือเผ่นจัดการตั้งลูก ผมรวบเงินที่หน้าเสื่อของลูกค้าเอาเข้ากอง ไอ้หนุ่มน้อยได้เงินไป ๑๐ บาท พวกมุดออกทางหน้าต่างอันเป็นช่องเข้าออกประจำ ต่อมายังไม่ทันลูกค้าวางเงินแทง เสียงทุบประตูดังสนั่น ลุงแม้นช่างตัดผมศีรษะล้านเจ้าของกิจการ #ลมโชยเกษา นั่งหน้าตึงตรงประตูพอดีตะคอก

“ใครวะ”

เสียงใสกังวานตอบเอาสะดุ้ง “ลุงหัวล้านไม่เกี่ยว ก้อยมาตามเพื่อนพี่ด้อง”

“อุวะ…อีก้อย” แกร้องลั่นรีบถอดกลอนประตูทันที

แม่สาวน้อยคนงามยืนหัวเราะคิกคัก กัลบกวัย ๔๐ ปีครวญคล้ายคำรามมือซ้ายเกาต้นคอแกรกๆ

“มึงนะมึงอีก้อย ชื่อกูมีไม่เรียกไม่ขาน”

“หนูนึกชื่อลุงไม่ออก ขอโทษด้วยจ๊ะ” สาวรุ่นกล่าวหน้าแดงก่ำ

“แล้วไปว่ะ วันหลังอย่าลืมอีกล่ะ”

“จ๊ะ….” ก้อยรับคำสุภาพ แล้วชายตามาทางเรา ๒ คนที่กำลังถูกกลุ่มเซียนสลัมรุมล้อมขอเงินจ้าละหวั่น

“พี่-พี่ ขอ ๕ บาท…๓ บาทก็ได้ผมเสียไปเกือบ ๒๐ บาทแน่ะ”

“ผม ๒ บาทนะ”

ที่สุด เสือเผ่นเปิดรายการแจกเงินบรรดาเซียนที่เอารายได้หรือกำไรจากขายเฮโรอินมาแทงโดยถ้วนหน้าพร้อมค่าบ่อนอีก ๕๐ บาท เสร็จก็พากันเดินตามสาวงามกลับเคหาท่ามกลางกรรมกรท่าเรือฯ กับโรงน้ำมันเลิกงานสภาพบนสะพานไม้จึงพลุกพล่าน ผู้คนเดินสวนไปมาไม่ขาดสาย พอกลับเข้าบ้านปะหัวหมู่นั่งถุนกัญชาอยู่ในห้องผมเอ่ยปากก่อน

“เสี่ยกังว่ายังไงบ้าง”

“สฤษดิ์สั่งกวาดล้างครั้งใหญ่แล้ว แกบอกให้พวกเราหาทางออกต่างจังหวัดแกเขียนจดหมายฝากให้ด้วย

“หมายถึงเรากะเปี๊ยกใช่ไหม” เสือเผ่น

“ใช่ สำหรับเราเองยังเป็นทหารอยู่ตำรวจคงไม่กล้าจับหรอก ว่าแต่นาย ๒ คน จะไปหรือเปล่า”

ผมกับแอ๊ดสบตากัน หมู่ด้องเสริม “ถ้านายจะอยู่ต่อไปควรยึดอาชีพทำเอาไหมล่ะ”

“ทำอะไร” แอ๊ดซัก

“ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เสี่ยเน้า บ่อนไก่ เพราะเสี่ยจะเช่าบาร์โเค. ที่ท่าเรือทำ”

“แล้วเขาจะเชื่อถือหรือ”

“เพื่อนเราเสี่ยเชื่อทุกคน…ตกลงไหม”

“แล้วนายล่ะ” ผมแอะ ถามผู้เสนอบ้าง

“ก็ช่วยกัน ๓ คนนี่แหละ”

คราวนี้เสือเผ่นหันขอความเห็น “เปี๊ยกล่ะ จะลองทำงานบาร์ดูไหม”

“ตามใจนาย”

ในที่สุด ผลจากการตกปากร่วมมือกันทำบาร์บริการกะลาสีเรือเดินสมุทรนานาชาติได้ถูกหมู่ด้องนำเข้าปรึกษาเสี่ยเน้า ซึ่งผมกับแอ๊ดยังไม่รู้จักหน้าตาภายในเย็นวันนั้นเอง และนับแต่นั้นอีก ๓ วัน ราวทุ่มเศษ หมู่ด้องก็พาเรา ๒ คนจับแท็กซี่เข้าพบชายไทยเชื้อสายมังกรวัย ๔๕ ปี รูปร่างอ้วนกลม ผิวขาว ผมสั้นเกรียนเจ้าของรถสองแถวหน้าตลาดคลองเตยเกือบ ๒๐ คัน ยังโต๊ะอาหารบนภัตตาคารชายทะเลจันทร์เพ็ญที่เสี่ยสองแถวคอยอยู่ก่อน ถึงกระทำคารวะพร้อมวิสาสะกันประมาณ ๑ ชั่วโมง ไม่เป็นผล เนื่องจากเสี่ยต้องการว่าจ้างเรา ๓ คนต่อเงินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ไปเฉลี่ยแบ่งกันเอง ส่วนตำแหน่งหน้าที่คล้ายนักเลงคุมบาร์จึงไม่คุ้มอีกทั้งพวกเราไม่ต้องการสร้างชื่อในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน พอล่ำลานายเงินกลับคืนรังประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ป้าไมมารดาของหมู่ด้องฉุดแขนเข้าบ้านจนแทบถอดรองเท้าไม่ทัน

“เรื่องอะไรกันแม่” ลูกชายสงสัย

ป้าไมหันมายิ้มกับเรา ๒ คนขณะทรุดลงนั่งบนพื้นกระดานพลางบอกเสียงดัง

“ลูกน้องคุณรหัสเขามาติดต่ออีก้อยเข้าประกวดนางนพมาศในวันลอยกระทงไม่ต้องแต่งชุดอาบน้ำ แม่เห็นว่าไม่อุจาดเลยรับปากเขาไป เผื่อมันจะมีอนาคตบ้าง”

“แล้วตอนนี้มันไปไหนกันหมด”

คุณป้าชำเลืองมองเรา ๒ คน ตอบเสียงเบาลง “ไอ้นั่นมันหมดแล้ว เจ้าห่าชัชเอาไปขายแถวบ้านมันด้วย พอดีขาประจำเขามาจากโคราชต้องการ#ของ ถึง ๒๐ ถุง มันกะทันหัน เลยใช้มัน ๓ คน ไปเอาของที่ล็อก ๑ พร้อมของที่เราจะซื้อมาขายปลีกด้วย นี่เกือบชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวคงกลับหรอก หัวหมู่ส่ายหัวแสดงทีท่าไม่พอใจนัก คุณป้าขยับเข้าไปนั่งข้างๆ ลูกชายบอกนุ่มนวล

“มันกะทันหันนะลูก เขาให้ค่าฝีมือถึงห้าร้อยเชียวนะ”

ลูกชายบ่นอู้ “ของของเราหมดแล้วแทนที่แม่จะเลิกขาย กลับไปเอาที่อื่นมาขายอีกจนได้”

“อีพวกนั้นมันเบื่อขายข้าวแกง”

“อีกหน่อยก็เข้าคุก” หัวหมู่กระแทกเสียงดัง

“ไอ้ด้อง” นางตะคอก พร้อมลุกพรวดขึ้นยืน

ผมกับแอ๊ดลอบสบตากัน แต่ไม่อาจหาช่องคลี่คลายปัญหาเบื้องหน้าได้หมู่ด้องขยับลุกไปคว้ารองเท้าเสือ เผ่นลุกตามไปประโลมหน้าบ้าน ผมขอตัวคุณป้ากลับไปยังห้องนอนถอดเสื้อออกแขวนกับตะปู แล้วหงายหลังเอนบนที่นอนปิดตาสนิท สมองคิดไปสารพันเรื่อง โดยเฉพาะเฮโรอินชนิดเกล็ด ๑๐ กิโลกรัมที่ปล้นมาจากเจ้าพ่อวงเวียน ๒๒ฯ ที่กำลังขยายอิทธิพลของมันอยู่เหนือใจป้าไมกับ ๓ สาวจะคิดทำการค้าเป็นอาชีพนั่นแหละ สืบไป หากป้าไมคิดทำการค้าจริงจัง สถานที่ซุกหัวแห่งนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อพวกเราแน่ เมื่อตำรวจตามกลิ่นยาเสพติดมาถึงตัว

เผลอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนฟูกรอ ๒ เพื่อนกลับเข้าห้อง พักใหญ่ไม่ได้ยินเสียงเพื่อนแว่วเข้าหู จึงยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา เห็นว่าเฉียดครึ่งคืน แต่ไฟตะเกียงตรงนอกชานสว่างอยู่ก็ตัดใจลุกไหเปิดประตูพบคุณป้านั่งอยู่เพียงลำพัง สีหน้ากระวนกระวาย เลยลองเลียบเคียง

“ยังไม่มีใครกลับมาเลยหรือครับป้า”

นางบอกสุ้มเสียงเพลีย “ป่านนี้ ได้หรือไม่ได้มันว่าจะกลับมาส่งข่าวก่อน”

ผมมองไปทางประตูที่เปิดอ้าไว้บานเดียว คุณป้าลุกไปซะโงกดูตรงประตูและยืนจ้องอยู่ครู่หนึ่ง นางบอกหน้าตื่น

“คงกลับมากันแล้ว”

สักครู่ เสียงย่ำเกือกบนสะพานไม้ดังกุกกักๆ ใกล้เข้ามา ผมนั่งลงพิมฝาห้อง ตามองอยู่ที่ประตูบ้านที่คุณป้ายืนอยู่ อึดใจ เสียงใสกังวานคุ้นหูของแม่ไก่พี่สาวใหญ่บ่นมากกว่าบอก

“หนูไปคอยที่ปากทางเข้าล็อกเป็นชั่วโมงยุงกัดจนแสบ แต่เข้าไม่ได้ ตำรวจดักอยู่ปากทางเกือบ ๑๐ คนแนะ”

“แย่แล้ว” นางพึมพำ

๓ สาวภายในชุดกางเกงสามส่วน สวมเสื้อยืดต่างสีกันผ่านประตูเข้ามาทักทายผมกับยิ้มให้ตามปกติ ป้าไมรับเงินปึกใหญ่ไปจากลูกสาวคนโต งึมงำกับตัวเอง

“มีอีกที่เดียวเท่านั้นที่จะเอาของได้”

“แม่จะไปเอาที่ไหนอีก นี่มันดึกแล้วนะ” ก้อยกล่าวท่าทีเบื่อหน่าย

“เอ็งน่ะแหละไปเอาได้” นางพูดใส่ไปยังธิดาสุดท้อง “เอ็งแกละมันคงจำเอ็งได้พี่สาวเอ็ง ๒ คนมันไม่รู้จักหรอก”

“อะไรกัน แม่จะให้พวกหนูไปถึงประตูน้ำเชียวหรือ”

คุณป้าเบนสายตามาทางผม ยิ้มเจือนๆ “ป้าเห็นจะต้องขอแรงเปี๊ยกแล้วละ ไอ้ห่าด้องเขาก็เผ่นไปแล้ว”

“นั่น…หาเรื่องให้คนอื่นเขาเดือนร้อนจนได้” ก้อยพยายามค้าน

นางไม่สนใจ ย้ำขอความเห็นเชิงบังคับ “ถ้าลูกเปี๊ยกไม่ช่วยไปเป็นเพื่อนอีก้อยป้าคงถูกเขาถอนหงอกแน่”

“ผมจะไปเป็นเพื่อนก้อยให้ครับป้า” กัดฟันบอก

“โอ…ดีเหลือเกินพ่อคุณ ป้าขอบใจอย่างมากจ๊ะ” นางสำแดงกิริยาลิงโลดชัดเจน

นับเป็นวาระที่ ๒ ของการนั่งแท็กซี่ท่องรัตติกาลกับสาวรุ่นน้องเพื่อน กระนั้นบรรยากาศบนรถก็ยังคงลักษณะเดิมไว้ คือไม่พูดจากันเลยนับแต่โชเฟอร์ทะยานรถออกจากคิวถนนอาจณรงค์ จวบครู่ใหญ่พาหนะของเราทะลุออกถนนเพลินจิต ก้อยสะกิดแขน ถามเบากริบระคนเสียงเครื่องยนต์แทบไม่ได้ยิน

“แม่บอกอะไรพี่เปี๊ยกบ้างหรือเปล่า”

“เรื่องอะไร…เรื่อง #ของ หรือเรื่องก้อย” ผมย้อน

สาวรุ่นก้มหน้าตอบ “เรื่องก้อยประกวนนางนพมาศจ๊ะ”

“อ้อ…บอกอยู่ แม่บอกว่าเพื่ออนาคตของก้อย พี่ดีใจด้วยที่คนสวยได้ใช้ความสวยให้เกิดคุณ”

“พี่เปี๊ยกอยากให้ก้อยไปประกวดไหม” น้ำเสียงเศร้าแผ่วเบา

ผมชักเอะใจ ลอบสังเกตสีหน้าสาวรุ่นวิบหนึ่ง ก่อนพยายามหาคำกล่าวให้เหมาะ

“ก็แม่ก้อยเขารับปากกับคนที่มาติดต่อแล้วไม่ใช่หรือ”

สาวรุ่นผินหน้ามองออกไปนอกรถ ผมนั่งใจเต้น รู้สึกร้อนบริเวณใบหน้าวูบวาบ ซึ่งหาใช่ไฟกิเลสแต่ด้วยสำนึกคนจรและผู้อาศัยอันไม่ควรละเมิด พาให้หวั่นเกรงนั่นเอง

“เข้าไปในซอยจารุรัตน์เลยใช่ไหมครับ” โชเฟอร์ถามจุดหมาย

“ใช่” ผมบอกแทน

สาวรุ่นเหลือบตามอง ถามสุ้มเสียงดีขึ้น “พี่เปี๊ยกเคยมาที่นี่หรือ”

“พี่มีเพื่อนอยู่แถวนี้หลายคน”

“นักเลงทั้งนั้นสิ”

ผมงดตอบ โชเฟอร์จัดการเลี้ยวรถข้ามเลนหน้าตลาดโต้รุ่งเพื่อเข้าซอยช้างตลาดอันเป็นที่ตั้งหมู่บ้านชาวสลัมหลังสถานีรถไฟมักกะสัน

“พี่เปี๊ยกรู้จักน้าแกละหรือเปล่า”

“รู้จัก เขารุ่นพี่”

“หยั่งงั้นเข้าไปกับก้อยด้วยกันนะ ข้างในโก๋แยะ”

ผมผงกหัวรับพร้อมชี้มือบอกโชเฟอร์ให้จอดรถชิดซ้ายตรงเสาไฟที่ติดป้ายโฆษณาภาพยนตร์ปากทางเข้าสลัม โชเฟอร์ยิ้มรับพลางเปิดไฟสูง ส่องป้ายนั่น

“พี่เปี๊ยก” ก้อยเรียก

“หือ” ขานรับ และเฉียงตามอง

“ช่างเหอะ” เธอคล้ายตัดใจ

โชเฟอร์เทียบรถจอดแล้ว ผมจ่ายทรัพย์ค่าบริการ ก้อยเปิดประตูฝั่งขวาออกไปก่อน ผมก้าวตามแล้วผลักประตูรถปิด

ลมหนาวกลางดึกโชยพลิ้ว ผมยืนสำรวจชัยภูมิทางหนีทีไล่กลางถนนซอยเปลี่ยวเงียบ โดยพยายามข่มใจมิให้สำแดงอาการหวั่นไหวใดๆ ต่อหน้าสาว อย่างน้อยถิ่นที่นี้มีหลายคนที่เป็นสหายรุ่นน้อง เช่น #แขก_โต้รุ่ง กับ #เล็ก_หูกาง รวมไปถึง #เฮียแกละ ด้วย

ต่อมา ผมทำหน้าที่มัคคุเทศก์นำเธอเดินไปบนสะพานไม้อย่างระมัดระวังโดยมีหมาเห่าเกรียวตลอดทางจนลุถึงบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่จุดตะเกียงเจ้าพายุสว่างจ้า พบกลุ่มปีศาจสุราวัยคะนองปักหลักดวดเหล้าอยู่หน้าบ้านกลุ่มใหญ่ บนตัวบ้านชั้นบนก็ยังมีอีกกลุ่มใหญ่

“บ้านหลังนี้แหละพี่” ก้อยกระซิบ

ผมกวาดตาหาคนรู้จัก ร่างหนึ่งนุ่งผ้าขาวม้าเปลือยท่อนบนสักอักขระเขียวพรืด สวมสร้อยคอทองคำอร่ามตากำลังกะพริบตามองอยู่ จึงกระทำคารวะ

“สวัสดีครับเฮีย ผมเปี๊ยกมากับก้อยน้องสาวหมู่ด้องครับ”

รุ่นใหญ่คารวะตอบ “ขึ้นมาข้างบนเลย ไอ้เปี๊ยก อีก้อยด้วย”

และแล้วการมาของเราได้ถูกบอกเล่าให้นักค้ายาเสพติดรู้สิ้น แต่รุ่นใหญ่บอกต้องรอถึงตี ๒ ถึงจะได้ของตามที่ต้องการ จึงจำใจร่วมวงจิบเหล้าฆ่าเวลา โดยมีสาวน้อยนั่งหาวอยู่ที่ระเบียงเดียวดาย เข็มนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาตี ๑ เศษ เหล่าปีศาจสุราทยอยกันกลับจนเหลือบผมกับรุ่นใหญ่ ๒ คน ในที่สุด ยิ่งดึกมาก อากาศยิ่งเย็นจัด ก้อยนั่งขดร่าง นัยน์ตาใสแน่วมองผมบ่อยครั้ง เฮียแกละคอทองแดงแท้หันไปพบสาวน้อยนั่งจ๋อง แกบอกปนหัวเราะ

“เฮ้ย…อีก้อย เอ็งเข้าไปนอนในห้องไอ้ถึกก่อน มันไปเป็นทหารแล้ว ไปสิ…นั่นห้องข้างหน้าเอ็งนั่นแหละ”

สาวรุ่นขยับลุกขึ้น นัยน์ตาดำขลับไม่วายมอง รุ่นใหญ่เลยไขว้เขวบอกยิ้มๆ

“เอ็งไปอยู่เป็นเพื่อนมันก่อน เดี๋ยวค่อยออกมานั่งกินเหล้าต่อกับพี่…ไปเหอะน่า”

ไม่ทราบว่าผีห่าซาตานใดดลใจให้ลุกไปหาเธอซึ่งกำลังยืนรวบผมให้เข้าที่พลางกระซิบ

“ก้อย เข้าไปนอนพักในห้องก่อนนะ ข้างนอกอากาศมันเย็นจัด!”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: