3771.เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 30 ลูบหนวดมังกร (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 30 ลูบหนวดมังกร (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ราว ๕ ทุ่มเศษ แต่ไม่ดึกนักสำหรับคนเมืองหลวง ยังปรากฏผู้ชาย-หญิง ต่างวัยโถมแรงกายชูชีพตนและครอบครัวสู้ชีวิตตกกลางคืนกระฉับกระเฉง นับแต่บนผิวการจราจรบบฟุตบาท แม้ในกรอบตึกแห่งธุรกิจเริงรมย์ระดับยอดหญ้าจรดทรงตึกที่หมายแทงทะลุฟ้า

เก๋งทานุสสีเทา ขับเคลื่อนโดย #สิงห์หน้าบากเกชัช พร้อม ด้องคลองเตย เก๊สตี๋ แอ๊ดเสือเผ่น และผมได้ตระเวนราตรีฆ่าเวลา ซึ่งบัดนี้ยังเหลืออีกเกือบ ๓ ชั่วโมง จึงขบคิดกันว่าจะแวะที่ใดพักรถประหยัดน้ำมัน ทั้งเลี่ยงการเผชิญกับด่านตรวจตำรวจด้วย ครู่หนึ่งหัวหมู่ทหารม้า ด้อง คลองเตย บอกมาจากเบาะหน้า

“ไปหาพี่ นิดบางลำพู สูบ #หมูนั่ง กันไหม”

(หมูนั่ง เป็นภาษาชาวยา ใช้ใบจาก ลอกเยื่อออกจนบางแล้วเอามารวมกันหั่นเป็นฝอย เสร็จแล้วนำฝิ่นมาเคี่ยวจนสุกทั่ว จึงเอาใบจากคลุกเคล้ากับฝิ่นใช้บ้องกัยชาสูบแทนได้)

เสือเผ่นถามทันที “ที่ไหนหมู่”

“หลังตลาดนานา ใกล้กับสะพานวันชาติ”

คราวนี้ไอ้เผ่นเหลียวหน้ามองผมกับเก๊าตี๋ พร้อมชักชวน

“ไปหาพี่นิดนะเพื่อน”

“ตามใจเหอะ เวลายังเหลืออีกนาน”

มังกรม้าเก็งเอ๋า เห็นด้วย ผมเองเบื่อนั่งอัดอยู่ในรถนานๆ พลอยเห็นงามแม้ว่าสถานที่ที่จะไปเยือนอยู่ในเขต สน.ชนะสงครามกับ สน.นางเลิ้ง อันไม่น่าวางใจเท่าใดนัก เฉียด ๒ ยาม เก๋งเทานุสพาหนะของเราหมุนวงล้อถึงจุดหมาย ด้านหน้าถนนทางเข้าโรงภาพยนตร์บุศยพรรณอันสองฝั่งถนนมีร้านอาหารตั้งเรียงรายตามไฟสว่าง แต่ผู้ใช้บริการบางตา

“ขับเลยเข้าไปจอดหลังวิกลิเกริมคลองนะเพื่อน” หัวหมู่แนะ

พอรถผ่านด้านหน้าโรงภาพยนตร์บุศยพรรณเคลื่อนไปได้ ๕-๖ เมตร ไฟหน้ารถ ๒ ดวง พุ่งจ้าให้เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ยืนนั่งอยู่บนฟุตบาทหน้าร้านกาแฟ โชเฟอร์หลุดคำลั่น

“เฮ้ย…เจอพี่นิดพอดี”

หมู่ด้องเปิดประตูหน้าฝั่งตัวเอง เกชัชเหยียบเบรกหยุดรถ หนุ่มผิวคล้ำสวมเสื้อยืดแขนสั้น เผยมัดกล้ามตรงช่วงแขนกับอกนูนตระหง่านวัยรุ่นพี่ตะโกนใส่เสียงกร้าว

“เฮ้ย…ปิดไฟด้วยโว้ย”

สิงห์หน้าบากดับไฟรถทันควัน หมู่ด้องก้าวออกจากรถเดินไปกระทำคารวะชายวัย ๔๐ ปี ผิวเหลือง รูปทรงมะขามข้อเดียวทะมัดทะแมงด้วยอาการนอบน้อมพร้อมบอกกล่าว แต่ผมกับเพื่อนภายในรถไม่ได้ยิน สักครู่ เจ้าสำนักก็โอบไหล่หัวหมู่แยกจากหนุ่มๆ เดินกลับมาที่รถ ผมเปิดประตูหลังออกกว้างลุกไปกระทำคารวะผู้อาวุโสเพื่อนๆ ทุกคนปฏิบัติถ้วนหน้า

“พี่ขอโทษพวกน้องด้วยที่ต้อนรับไม่ได้ เพราะสายตรวจเข้าออกตั้งแต่หัวค่ำมาแล้ว”

“มีเรื่องร้ายแรงหรือพี่” ผมลองแย็บๆ เพราะตลาดนานากับบ้านพานถมใกล้แค่เอื้อม

รุ่นใหญ่บอกเสียงฉุน “มันตีกันมั่วไปหมดทั้งถนนปากตรอกเข้าวัดสังเวชฯ ขณะนี้ยังแยกไม่ออกว่าสาเหตุมาจากอะไร เพราะมีเด็กจากตรอกไก่แจ้ของไอ้ปุ๊กับเด็กตลาดยอด และเด็กๆ ของจ่าวาฬหลายคนเหมือนกัน…แล้วก็ใช่แต่จะยกพวกลุยกันเท่านั้นไอ้แดง โบวี่ยังเสือกพาพวกมาดักฉุดนักร้องที่หน้าโลลิต้าซ้ำอีก…เสียใจด้วยนะน้องที่พี่ต้อนรับไม่ได้”

“ไม่เป็นไรครับพี่ พวกเราทำให้เดือดร้อนกันเอง” เก๊าตี๋ว่า

“แล้วนี่พวกเอ็ง ๕ คน จะไปไหนกันต่อ”

“ตระเวนไปเรื่อยๆ ครับพี่”

“ระวังตัวด้วย…รองฯ จำรัส ท่านบอกว่าเรื่องนี้ท่านสฤษดิ์สั่งเอาตัวพวกก่อเรื่องทั้ง ๒ เรื่องแล้ว อย่าให้พลาดเข้าลาดยาวนะน้องเพราะ ๒ ปีมานี่ยังไม่มีปล่อยใครสักคน มีแต่จับเพิ่ม”

“ขอบพระคุณพี่มากครับที่ห่วงใยพวกผม” ด้องว่าบ้าง

สักครู่เรา ๕ คนจำต้องคารวะลารุ่นใหญ่ ล่าถอยจากตลาดนานาโดยมีเสือเผ่นพ่นลมปากวิเคราะห์เรื่อง ๒ เรื่องที่เกิดขึ้นภายในท้องที่ สน. ชนะสงครามเท่าที่รู้และเดาเหตุอย่างน่ารับฟัง

“เราฟังเรื่องที่พี่นิดบอกแล้วแรกๆ นึกไม่ออกว่ามันลุยกันวุ่นครั้งนี้เพราะอะไร แต่มานึกถึงคำที่แกว่ามีเด็กตรอกไก่แจ้กับเด็กตลาดยอดร่วมด้วย เราก็คิดถึงพระแดงกับแหลมสิงห์ที่เพิ่งถูกเด็กของไอ้ปุ๊ถล่มไปเมื่อเช้าขึ้นมาได้”

“นายเลยคิดว่าหลวงพี่ประกาศรบกะไอ้ปุ๊แล้ว” ด้องซักกลางคัน

“อาจไม่ใช่หลวงพี่” แอ๊ดลังเล

“หยั่งงั้นแหลมสิงห์”

“ก็ไม่มั่นใจเท่าใดหรอก” เสือเผ่นไม่ยืนยัน “เราคิดไปถึงมือที่สาม ไอ้พวกรุ่นใหญ่ พวกบ่อนที่ต้องการให้พวกนี้รบกันเอง”

สิ้นคำเพื่อน ไม่มีผู้ใดแสดงอาการคลางแคลงเพราะต่างซึมซึ้งดีกว่าบรรดานายบ่อน โรงแรมและอาบ-อบ-นวด ซึ่งส่วนใหญ่รุ่นพี่มี เอี่ยว อยู่ต่างใคร่ยลดารา ๒ แก๊งชนกันให้พินาศกันไปข้าง เพื่อเขาจะได้เลี้ยงเสือใหญ่น้อยลง หรือตัวเดียวยิ่งดี
ดังกล่าว แม้รู้ทั้งรู้ ชนชาวนักเลงกลับพร้อมไล่ล่าทำลายกันเพื่อทรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและชื่อเสียงที่สังคมชาวเรายกย่องเรียกขนกันเอง โดยไม่มีสถาบันใดยอมรับก็ตาม

ฆ่าเวลาด้วยการนั่งรถตากลมเสี่ยงกับการตรวจค้นจากด่านตำรวจฐานพกอาวุธปืนเถื่อนจนล่วงเข้าตี ๑ เก๊าตี๋ชักชวนให้แวะรถเข้าไปจอดในซอยด้านหลังโรงภาพยนตร์นาครสนุก รองท้องด้วยข้าวสวยร้อนๆ พร้อมเกาเหลาเนื้อเปื่อยคนละชาม รู้สึกนัยน์ตาสว่างกระชุ่มกระชวยขึ้นเป็นกอง

อีก ๓๐ นาทีตี ๒ เรา ๕ คน ละจากร้านอาหารกลับไปที่รถ ผมเดินแหงนหน้าชมฟ้าราตรีเมืองหลวงพบแสงไฟใต้ฟ้าสว่างแทบจะดับดาว เลยไม่อยากชมฟ้าด้วยเสียดายพลังงานของชาติ พอเข้าไปนั่งรถ และดึงประตูปิด หัวหมู่บอกเบาๆ

“ตรวจความพร้อมเสียก่อนนะเพื่อน”

แอ๊ด เสือเผ่น เก๊าตี๋ ไม่เคลื่อนไหว สำแดงว่า พร้อม ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เกชัชเคลื่อนรถออกจากที่ หัวหมู่ด้องล้วงเข้าไปในอกเสื้อกำพระเครื่องในคอยกขึ้นเบื้องสูง ปากบอกขัดคำ

“เพื่อครอบครัวของลูก หลวงพ่อโปรดจำวัดเถิด”

วาจาเพื่อน ไม่ทราบถึงใจว่าเขาบอกกล่าว #พระ จริงใจแค่ไหน สำหรับผมไม่มีพระในคอ มีพระองค์เดียวในใจคือพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ซึ่งป่านนี้คงจำวัดแล้วผมควรบอกกล่าวท่านด้วยใจเยี่ยงไร

ครับ-ผมกราบกล่าวถึงท่านในใจก่อนเริ่มพฤติกรรมทางอาชญากรรมโดยตรงเป็นครั้งที่ ๒

“ลูกจะขอเอาดีบนหนทางชั่วให้ได้”

ครู่หนึ่งเทานุสเก๋งของเราผ่านเข้าย่านเยาวราชไซน่าทาวน์สยาม จนใกล้ถึงโรงภาพยนตร์คาเธ่ย์ โชเฟอร์ขับรถชิดซ้ายหยุดจอดส่งหมู่ด้อง เก๊าตี๋ แอ๊ด และผมให้เดินเอาอีก ๕๐ เมตร เพื่อเคลียร์สถานที่ก่อนลงมือ ราว ๕ นาทีทุกคนกลับมารวมกันตรงหัวมุมเสาไฟตรงข้ามกับโรงหนังอันขนาดนี้สภาพทั่งไปคล่องตัว เก๊าตี่ยกนาฬิกาขัอมือขึ้นดูเวลา

“อีก ๑๕ นาที”

หมู่ด้องเสริมต่อ “รถที่ใช้เก็บเงินมีดัทสันสีน้ำเงินกับโตโยต้าสีแดง และที่จอดรถถตรงนั้น”

จบคำหัวหมู่่คลองเตยชี้มือไปยังเลนถนนฝั่งซ้ายห่างจากที่ที่พวกเรายืนราว ๘๐ เมตร จากนั้นจึงจับคู่กันแยกไปยืนคอยเหยื่อ โดยผมกับหมู่ด้องข้ามไปเตร่อยู่แถวๆ โรงหนัง เก๊าตี่กับแอ๊ดปักหลักที่เดิม

ช่วงเวลาที่รอคอย ผมรู้สึกฉงนใจตัวเองในคราวแรกที่ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับ งาน อันต่างกว่าสมัยร่วมทีมกับเก๊าตี๋รับงานฆ่าที่อู่ตะภาอย่างตรงกันข้าม ทั้งยังมีความมั่นใจสูงว่างานนี้ต้องสำเร็จ ส่วนจะสำเร็จถึง ๑๐๐ ตามที่ตั้งเป้าขณะวางแผนหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหยื่อ ครู่ใหญ่ โตโยต้าเก๋งสีแดงเพลิงปรากกกลางเลนส์แก้วตา จึงสะบัดหน้าไปทางหัวหมู่ทหารม้า

“เย็นไว้โยม” เพื่อนเย้าระคนยิ้ม

ต่อมาเหยื่อในเก๋งโตโยต้าข้ามเลนส์เข้าถนนซอยหน้าโรงหนังไปจอดยังที่จอดที่หมู่ด้องชี้เมื่อครู่ แอ๊ดกับเก๊าตี๋ยืนสงบยลพฤติกรรมเหยื่อ บัดนี้รถจอดสนิท ประตูหลังทั้ง ๒ บานถูกผลักเปิด ๒ หนุ่มหนุ่นกำยำแต่งกายเรียบร้อย ไม่ปรากฏนามในทำเนียบนักบู๊โผล่ออกมายืนเต็มร่างพร้อมหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์คนละใบ จึงผลักประตูรถปิด

“มันจะขึ้นไปเก็บเงินในโรงน้ำชาน่ำเทียนบน ๙ ชั้น ไม่เกิน ๒๐ นาที” เจ้าถิ่นคลองเตยกระซิบ

ผมไม่ต่อคำเพื่อน ๒ ดวงตาเรดาร์อยู่ที่ ๒ หนุ่มสาวมังกรดังวงเวียน ๒๒ กรกฏา พากันเดินข้ามถนนมายังฝั่งโรงหนังและผ่านเราไปอย่างไม่ไยดี เสือเผ่นจุดบุหรีสูบส่ง #ซิก ให้มั่นใจว่า #เหยื่อ แน่นอน ผมเยนสายตาไปยังโตโยต้าสีแดงเพลิงอันขณะนี้โซเฟอร์ยังคงหมกร่างอยู่ในรถ พอ ๒ สมุนของ ซาเก๊า หายไปได้ครู่หนึ่ง เสือเผ่นกับมังกรม้าเก็งเอ๋าทำเดินคุยกันไปที่เก๋งเหยื่อ หมู่ด้องหันมาสบตาผมพลางขยับก้าวข้ามถนนไปประกบหลังแอ๊ดกับเก๊าตี๋โดยทิ้งระยะเดินห่างพอสมควร ผมเดินขนาบ ๒ เพื่อน อยู่ฝั่งเดิมทิ้งช่วงให้ได้ระยะกับหมู่ด้องฐานะมือคุ้มกัน จวบ ๒ เพื่อนเดินไปหยุดที่เก๋งดังกล่าวพร้อมดึงประตูรถเปิด ผมหยุดตีนตัวเองกวาดตามองเภทภัยให้เพื่อนไม่ต่างเหยี่ยวแลเหยื่อ เมื่อดึงสายตากลับไปที่รถอีกครั้ง โซเฟอร์เก๋งสีแดงเพลิงหุ่นอ้วนกลมผิวพรรณบอกเชื้อสายมังกรโผล่ออกจากรถ เสือเผ่นปราดเข้าประกบหลัง โบวี่ในมือขวากดเข้ากลางหลังพวกผวาร้องจนผมได้ยิน

“โอ้ย”

ผมยืนเป่าลมออกจากปากอย่างแรงที่เหยื่อไม่ขัดขืนมากกว่าร้องทั้งยอมให้ ๒ เพื่อนประกบข้ามถนนไปยังเก๋งเทานุส ซึ่งสิงห์หน้าบากเกชัชยืนรอรับอยู่แล้ว เสร็จงานเก็บตัวตีนผีของซาเก๊าเสือเผ่นคว้ากุญแจรถจากหมูอ้วนที่ฝากให้เกชัชคุมตัวไว้มาครองแล้วล่ากลับไปยืนที่เดิมพร้อมเก๊าตี๋รวมทั้งหมู่ด้องกับผม

“เหลือไอ้ ๒ ตัวนั่นคงไม่มีปัญหา” ทหารม้าเปิดปาก

“เราก็คิดเหมือนนาย” ผมคล้อยตามและจุดบุหรี่สูบ

กลางแสงไฟสว่าง ใต้ชายคาโรงภาพยนตร์คาเธ่ย์ที่ผมยืนอยู่เริ่มบรรเทายานพาหนะและผู้คน ที่สุด วินาทีที่เรารอคอยมาถึง ๒ หนุ่มหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์หน้าเดิมกลับมาแล้ว ผมอัดบุหรี่เข้าปอดหนักๆ ก่อนสละสิทธิ ๒ เหยื่อเดินผ่าน หมู่ด้องเฉียงตามอง ผมผงกหัวรับพร้อมก้าวตามหลังไปห่างๆ ราว ๗-๘ เมตร สองเหยื่อหยุดกึกไม่ยอมข้ามถนนกวาดตาคล้ายหาโซเฟอร์ รูปการณ์เช่นนี้มีแต่ต้องตัดสินใจแล้วจึงผงกหัวตีซิกลงมือ

พลัน…เราสองกระตุกรีวอลเวอร์ขนาด .๓๘ ออกจากซอกเอวพรวดประกบทั้งปักปากกระบอกปืนเข้ากลางหลัง พวกร้องลั่น

“เฮ้ย…อะไรวะ”

หัวหมู่ตะคอกเหี้ยม “ปืนว่ะ ยิงมึงทะลุหน้าอกได้ ถ้ามึงโวย”

เหยื่อไม่ยึกยัก ผมดันปากกระบอกปืนดุนหลังสั่งการห้วนๆ “ข้ามไปที่รถ” เหมือนนกรู้ว่าอันใดควรไม่ควร อีกทั้งมนุษย์นั้นกลัวเจ็บกลัวตายติดสันดานอยู่แล้ว ทั้งคู่ขยับข้ามถนนไปยังฝั่งที่เก๊าตี๋กับเสือเผ่น ซึ่งยืนระวังเกมอยู่เข้าร่วมสมทบพาเชลยไปที่เก๋งของมันโดยดุษณี

“พวกคุณเป็นใครกันนี่” ๑ ใน ๒ เชลยถามให้เปลืองลมปาก

เสือเผ่นยันกลับขณะเปิดประตูหลังให้จนขำ “พวกกูพ่อมึงทั้งนั้น ไป…เข้าไปซะ”

๒ เชลยจำใจจำยอมเตรียมมุด เก๊าตี๋กระชากกระเป๋าไปจากมือมันส่งให้หมู่ด้องจนมันสะคุ้งอุทานลั่น

“เอ๊ะ…นี่มันปล้นกันชัดๆ”

สินคำมัน เสือเผ่นถีบก้นด้วยตีนซ้ายเต็มแรง หัวหมอถลำพรึดเข้าประตูจนกบาลเกือบชนหลังคา เสือเผ่นสำทับเอาอีกคน

“มึงอีกตัวเข้าไป เอากระเป๋ามานี่”

รายนี้ไม่ต้องออกแรง มันยื่นกระเป๋าให้พร้อมมุดเข้าไปนั่งในรถทันที หมู่ด้องดึงกุญแจมือส่งให้เก๊าตี๋จัดการล็อกข้อแขน ๒ เชลยไว้พร้อมนั่งประกบปืนในมือไม่ห่างกบาลไอ้คนนั่งกลาง แอ๊ดอ้อมหน้ารถไปเข้าประจำตำแหน่งโซเฟอร์ ผมโดดเปิดประตูหน้าเข้าไปนั่งแล้วดึงประตูรถปิด หัวหมู่ทหารม้าก้มลงบอก

“โชคดีเพื่อน ทางเราอย่าห่วง จะให้เกชัชขับรถตามไปเรื่อยๆ”

“ตกลงเพื่อน”

ผมรับคำเฉยเมยดั่งเรื่องร้ายที่ก่อคล้ายฝุ่น เสือเผ่นเคลื่อนรถโชว์ฟอรมสองแถวเก่านุ่มนวล ตี ๓ เศษ เราจอกรถไว้ริมถนนรอบนอกสวนลุมพินีอันสงัดก็จัดการปล่อย ๓ เชลยไปลงคูน้ำด้วยความเต็มใจของมันเองด้วย จากนั้นจึงขับเก๋งเชลยไปทิ้งไว้ที่บ่อนไก่แล้วพากันตะบึงเก๋งเทานุสคืนรวงรังในบัดดล

วันใหม่แล้ว ผมถูกเสือเผ่นปลุกถึงห้อง แล้วพาลุกออกไปห้องของหมู่ด้องท่ามกลางผองเพื่อนครบทีมจึงถาม

“มีอะไรหรือ”

“ไม่มีเงินอย่างเดียวว่ะ อีกกระเป๋าหนึ่งมีเฮฯ เต็มเลย” สิงห์หน้าบากโฟน เก๊าตี๋จัดการเปิดกระเป๋าทั้ง ๒ ใบโชว์ ผมเห็นของเต็มตาถึงกับเผลอหลุดเข้าไปหยิบ ไก่แดง หรือ อั้งโกย หรือเฮโรอินชนิดเกล็ดแพ็กในถุงตรา ลั้งกี้ น้ำหนักประมาณ ๑๕ กรัมขึ้นชมให้ชัดตา

“เราจะเอายังไงกับ ของนั่นดีล่ะ เงินสดมีทั้งหมด ๕๐,๐๐๐ บาท” เสือเผ่นขอความเห็น

เงียบกริบ…ขณะนี้หาคนสมองใสหาช่องจัดการกับยาเสพติดที่โผล่สำแดงพิษหลังประกาศปิดโรงยาฝินไม่ได้ ครู่หนึ่งเจ้าบ้านเสนอเสียงเบาลง

“เรากับเกชัชตีราคา #ของ แล้วคิดราคาขายส่งประมาณ ๕๐,๐๐๐ เศษจึงอยากขอความเห็นเพื่อนบ้าง”

“พูดมาเลยหมู่” มังกรม้าเก็งเอ๋าร้อน

ต้องบอกเรียบๆ “เรากับชัชขอ ของไว้จัดการเอง ส่วนนาย แอ๊ดกับเปี๊ยกเอาเงินสดไปแบ่งกัน โอเคไหม..สำหรับเราอาจได้เงินแบบเบี้ยหัวแตกเพราะต้องปล่อยให้เด็กๆ ในล็อกมันขายแบ่งกำไรกัน โดยเรากับเกชัชเองอาจได้ไม่ต่ำกว่าคนละ ๓ หมื่น ๔ หมื่นเหมือนกัน” มังกรม้าเก็งเอ๋าหันมาขอความเห็นเสือเผ่นกับผมยิ้มๆ

“แอ๊ดกับเปีียกตกลงไหม”

“โอเค เพื่อน แต่ปัดเงินที่เกิน ๕๐,๐๐๐ ให้ป้าไมนะ” เสือเผ่นว่าน่ารัก

“แล้วเปี๊ยกล่ะ”

“ตามใจเพื่อน”

ผมฝืนใจกล่าว ด้วยมองยาวไปถึงผลในวันที่ยาอุบาทว์ ๑๐ กิโลกรัมถูกแพร่ถึงมือเด็กๆ ชาวสลัมทั้ง ๑๑ ล็อก เพื่อจำหน่ายแก่ผู้คนนั้่นแหละ

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: