3799. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 2 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 2

ผมหันกลับไปทางหนุ่มฉกรรจ์ผิวนิล ร่างสันทัดดูกำยำ แต่งกายรัดกุม สวมหมวกจ๊อกกี้หลุบหน้าซึ่งปล่อยเกียร์ว่างรถไว้โดยไม่ดับเครื่องก็พบเขาจ้องมาที่ผมเช่นกัน จึงหันกลับมาที่วงหมากรุกกล่าวสนองคุณผู้สูงวัยกว่า

“ผมกราบขอบพระคุณที่กรุณาแนะนำให้รู้จักครับ”

สิ้นคำผมกระทำคารวะนักเลงหมากรุกทั่วหน้า จากนั้นก็ผละไปกล่าวทักทายเขาก่อนตามอัธยาศัย

“สวัสดีครับ…คุณรุณ”

นัยน์ตาดำวาวเบิกกว้างจ้องผมเขม็ง ใบหน้าคมสันแลกร้าวคล้ายกระตุกส่อทีท่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ผมลอบกลืนน้ำลายฝืดๆ ตัดใจกล่าวอีกประโยค

“ผมเป็นเพื่อนกับ “ชาญ” เขาฝากหนังสือมาถึงคุณด้วย”

“ขอดูหน่อยครับ” เขาบอกห้วนๆ

ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตฟีลด์คว้าเอากระดาษโน๊ตยื่นส่งให้เขารับไปคลี่อ่านกับไฟหน้ารถครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้น ผมฝืนใจยิ้มให้เขา ทีนี้เขายิ่มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเป็นตับพลางชะโงกบอก

“ผมมีธุระสำคัญพอดี จะไปด้วยกันไหม?”

“ไปด้วย”

มอเตอร์ชค์ค่อนข้างใหม่ระเบ็งเสียงกึกก้องย่านบ้านสองสลึง ผมก้าวขึ้นนั่งซ้อนท้าย

“คุณไม่มีข้าวของมาเลยหรือ?”

“ถูกปล้นระหว่างทาง”

“เอ๊ะ!” อุทานพร้อมสะบัดหน้ามาซัก “ปล้นที่ไหน?”

“เลยจากที่นี่ประมาณ ๒ กิโล เป็นการปล้นผู้โดยสารบนรถบัสทุกคน”

“คุณนี่ซวยชะมัด” กล่าวปนหัวเราะ

พลัน…เสียงไซเรนกังวานโหยหวนราตรีมือทะมึน ครู่หนึ่งรถวิทยุตำรวจทางหลวง ๒ คันทะยานลิ่วผ่านตาไปเห็นแต่ไฟแดงบนหลังคารถวูบวับนักบิดปล่อยคลัตช์เคลื่อนรถขึ้นบนถนนสุขุมวิทมุ่งไปทางสามย่านหรืออำเภอแกลง ไฟหน้ารถพุ่งเป็นลำยาว ลมเย็นปะทะหน้าจนรู้สึกชา “จับไว้ให้ดี ต้องทำเวลาแล้ว”

ผมสอดมือซ้ายจับเอวเขากลับเจอวัตถุแข็งๆ บริเวณซอกเอวซ้าย เลยลดลงจับตะโพก สองตามองข้ามไหล่ตามแสงไฟหน้ารถแล้วเหลือบมองเกจ์วัดความเร็วบนหน้าปัดบอกตัวเลข “๑๐๐” หลายครั้งที่วิ่งสวนกับรถสิบล้อผมต้องกลั้นใจเมื่อถูกแรงลมจากรถยักษ์กระแทกใส่

๑๕ นาทีโดยประมาณ นักบิดเริ่มชะลอความเร็ว ยกมือซ้ายขึ้นลูกหน้าก่อนให้สัญญานไฟเลี้ยวขวาซึ่งคาดว่าคงเป็นหมู่บ้านที่เห็นแสงไฟส่องฟ้าดำอยู่ข้างหน้า นักบิดหักแฮนด์เลี้ยวข้ามเลน ผมจับตาที่ป้ายปากทางเข้าอันแสงไฟจากเสาสูงริมทางส่องให้เห็นรางๆ “บ้านวังหิน” รถพุ่งผ่านบ้านเรือนสองข้างทางถนนลาดยาวซึ่งปิดหน้าร้านหมดแล้ว พ้นบ้านวังหินเข้าไปราว ๑ ก.ม. ถนนลาดยาวได้เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังอันสองข้างทางเป็นไร่นาเกษตรกร

นักบิดลดความเร็วลงเมื่อปรากฏหลุมบ่อใหญ่เล็กที่ต้องคอยหลีกหลบ ลักษณะการขับขี่รถของนายรุณ ตาแดง นอกจากบ่งถึงความชำนาญแล้ว ยังบอกถึงความจัดเจนเส้นทางสายนี้เป็นอย่างดี พักใหญ่ท้องทุ่งในความมืดสองข้างทางเปลี่ยนสภาพเป็นร่มครึ้มด้วยหมู่ไม้ที่ปลูกรายเรียงเป็นแถวแลเป็นพุ่มมองตะคุ่มๆ สูงต่ำใกล้เคียงกัน เมื่อมองในระยะสายตาก็ทราบว่าเป็นต้นเงาะกับทุเรียน

ต่อมานักบิดขับรถออกจากถนนสายเมนไปตามสวนทุเรียนอันวกวนซึ่งมีรอยล้อรถ ๔ ล้อผ่านเข้าไป บัดนี้สภาพรอบตัวผมมืดสนิทและสงบเงียบจนดูวังเวงชอบกล ไฟหน้ารถที่สาดไปตามทางนั้นที่คล้ายหลักทางใจประโลมมิให้หวั่นไหวกับสถานที่ ทันใดไฟหน้ารถฉายตรงยังตัวเรือนไม้กลางสวนขนาดย่อมหลังหนึ่ง ที่ลานดินหน้าบ้านมีรถปิกอัพสีน้ำเงินไม่ติดป้ายทะเบียนสภาพโทรมๆ จอดอยู่

นักบิดนำรถเข้าไปจอดตรงท้ายรถและดับเครื่องยนต์ ผมเหวี่ยงตัวเองลงไปยืนข้างรถปิกอัพให้เขาตั้งขาตั้งรถ จู่ๆ ปรากฏลำแสงไฟฉายไม่ต่ำกว่า ๓ ดวงพุ่งจ้าเป็นลำยาวมาที่เรา ๒ คน รุณหันหน้าเข้าสู่ลำแสงไฟ มือขวาชูขึ้นเหนือศีรษะ ผมยืนระงับอาการตื่นเต้นกับการต้อนรับนั่น จนไฟฉายทุกดวงดับวูบ และตามด้วยเสียงย่ำใบไม้แห้งแกรกกรากของคนหลายคนรอบตัว เงาคนตะคุ่มๆ ๕ เงาก้าวยวบๆ มาหา ไล่ๆ กันไฟฟ้าตรงเชิงบันใดสว่างโพลง เสียงพื้นกระดานตัวเรือนลั่น ตามด้วยเสียงถอดสลักประตูก่อนเปิดกว้าง หนุ่มฉกรรจ์ชุดยีนต์โผล่โฉม ผมแทบผงะที่เห็น “ไอ้หน้าบาก” ผู้ใช้ปืนจี้ท้ายทอยโชเฟอร์ บ.ข.ส. ให้เลี้ยงรถเข้าป่า แล้วร่วมกับพวกปลดทรัพย์ผู้โดยสารรวมทั้งผม บัดนี้ทั้งแก๊งรวมหัวอยู่ที่นี่เอง นักปล้นหน้าบากยืนเกาท้ายทอยส่ายหน้าไปมาบ่นพึม

“จู่ๆ มึงก็โผล่พรวดเข้ามา ไอ้ห่าพวกนี้เผ่นกันบ้านแทบพัง”

“กูมีธุระสำคัญ”

“เรื่องนี้หรือเปล่า?”

“ไม่เกี่ยว ตอนกูมาไอ้พวกทางหลวงเพิ่งไป…เป็นยังไงวะ พอจะได้รถจี๊ปสักคันหรือเปล่า?” ประโยคหลังรุณคงหมายถึงงานปล้น

“มึงขึ้นมาดูเองดีกว่า”

หนุ่มฉกรรจ์หน้าบากบริเวณซีกแก้มขวาตัดบทก่อนเดินเข้าตัวเรือน นักบิดผิวนิลก้าวขึ้นบันไดโดยมีผมกับกลุ่มนักปล้นตามขึ้นไป พอหลุดร่างผ่านประตูเข้าตัวเรือนหลังย่อม สิ่งที่ปรากฏบนชานเรือนคือกระเป๋า ถุง และเป้บรรจุข้างของที่ปล้นไปจากผู้โดยสารกองสุมระเกะระกะใกล้ๆ กันบนพื้นกระดานปูรองด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ มีกระเป๋าเงิน นาฬิกา แหวนสร้อยทองคำ เพชร พลอย พร้อมเงินสดอีกกองพะเนิน ๑๐ ชีวิตรวมทั้งผมล้วนจ้องตายังของโจรเป็นตาเดียว

“ทั้งหมดนี่ยังไม่มีใครแบ่งไปไหนแม้แต่บาทเดียว” สิงห์บากกล่าวทำลายความเงียบขึ้น รุณ ตาแดงมองมาที่ผมแวบหนึ่งก็หันไปบอกแก่กลุ่มนักปล้นเสียงดัง

“เพื่อนกูคนนี้….” เขาชี้มาที่ผม สีหน้าขรึมจริงจัง “เขามาจากกรุงเทพฯ อยู่ในรถคันเดียวกับที่ถูกพวกเราปล้น คิดว่าหลายคนคงจำได้”

วาจาเพื่อนใหม่ดึงความสนใจกลุ่มนักปล้นเบนมาที่ผมทันที ผมไม่สะท้าน ปรายตาไปยังนักปล้น “ตาโต” ผิดมนุษย์ทั่วไปจึงประสานตากัน มันยิ้มกว้าง ต่อคำห้วนๆ

“ผมจำได้ว่านั่งติดกับเขา”

ผมค้อมหัวให้เขา เพื่อนใหม่ของผมเสริมสุ้มเสียงเดิม

“ถ้าหยั่งงั้นขอ “ของ” คืนได้ไหม?”

เหล่าดาวปล้นทั้ง ๗ เบนสายตาไปทางหนุ่มหน้าบากที่ยังยืนจ้องหน้าผมไม่วางตา สิงห์หน้าบากถามเสียงสูง

“ของของคุณมีอะไรบ้าง?”

ผมผินหน้าไปทางเพื่อนใหม่เพื่อปฏิเสธการรับของคืน รุณยิ้มให้ผมก่อนหันไปตอบแทน

“มีสร้อยทอง ๓ บาทพระเลี่ยมทอง ๓ องค์ นาฬิกาเรือนทอง ๑ เรือน เงินสด ๗ พันเศษ และกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ๑ ใบ”

“ถ้าจำได้ก็หยิบเอาไปสิ” สิงห์บากบอก

รุณบอกเสริมเสียงเบากริบ “หาดูเถอะ อันไหนของคุณ เราชีวิตเดียวกันไม่หักล้างกันหรอก”

“ขอบใจ”

ผมจำต้องเล่น “บท” ที่เพื่อนใหม่ส่งมอบกะทันหันโดยก้าวออกไปที่กองกระเป๋าคว้าถุงเป้ของตัวเองออกมาท่ามกลางสายตาทุกคนเฝ้ามองอยู่ตลอด ต่อมาผมขยับไปนั่งทับเข่าอยู่หน้ากองเครื่องประดับ หยิบนาฬิกาเรือนทอง สร้อยคอทองคำหนักราว ๓ บาท พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทอง ๓ องค์มาวางไว้ข้างนอกกอง จากนั้นจึงคว้าปึกธนบัตรใบละ ๑๐๐ บามมานับวางไว้ปึกละ ๑ พันบาท รวม ๗ ปึก กับเศษธนบัตรอีก ๒ ร้อยกว่าบาท

“มีเท่านี้ครับ” ผมบอกเสียงดัง

“เชิญเลย” หน้าบากหนุนเสียงเข้ม

รวบรวมเอาข้าวของที่ไม่ใช่สมบัติตนกลับคืนเสร็จ การตรวจเช็กสมบัติโจรทั้งหมดของกลุ่มโจรเพื่อให้ได้ตัวเลขใกล้เคียงที่สุดดำเนินไปโดยมีรุณกับผมนั่งสงบชม พักใหญ่ก็เห็นตัวเลขเกินหลัก ๑ แสนบาทชัดเจน เช่น

นาฬิกาทั้งชาย-หญิง ราว ๒๐ เรือน
สร้อยคอทองคำ ๙ เส้น น้ำหนัก ๑๐ บาท
สร้อยข้อมือทองคำ ๖ เส้น น้ำหนัก ๙ บาท
แหวนทองคำ ๕ วง น้ำหนัก ๕ บาท
เงินสดกว่า ๘ หมื่นบาทเศษไม่รวมเสื้อผ้าอาภารณ์และสิ่งของอื่นๆ

ระหว่างใช้สายตาคำนวนสรรพสิ่งที่กองเบื้องหน้า รุณลุกเดินไปนั่งทับเข่าข้างกายสิงห์บากซึ่งกำลังพลิกดูแหวนทองหัวพลอยสีน้ำเงิน บอกเรียบๆ

“กูมีเวลาอีกแค่ ๓๐ นาทีเท่านั้นนะอิ้น”

“มึงจะเอา ๕ หมื่นใช่ไหม?” สิงห์บากพหรืออิ้งถาม

“เศษอีก ๒ พัน สำหรับข้าวสารกับอาหารแห้ง”

อิ้นขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาททั้งปึกมานับอย่างคล่องแคล่วจนครบจึงยื่นให้ รุณรับเงินนั่งไว้แล้วพากันลุกขึ้นยืน กลุ่มโจรอีก ๗ นายคาดว่าอยู่ในฐานะสมุนยังนั่งมองสมบัติราวไม่เคยพบเห็น รุณโอบหลังอิ้นพาไปที่ประตู ผมเลี่ยงไปยืนชิดโอ่งน้ำ เสียงอิ้งถามรุณเบาโหวง

“ไอ้นั่นเพื่อนมึงจริงๆ หรือ?”

“เพื่อนกู”

“โชคดี รุณ”

พอทั้งคู่เตรียมผละจากกัน ผมปราดเข้าหาอิ้น ยิ้มให้เขาพร้อมยื่นมือขอสัมผัส สิงห์บากยื่นมือมาจับอย่างเสียไม่ได้

“ขอบคุณคุณอิ้นที่กรุณาผมในครั้งนี้”

“ไม่เป็นไรครับ”

มอเตอร์ไซค์คันเดิมวิ่งกลับทางเก่าด้วยความเร็วปกติพักหนึ่ง นักบิดตะโกนถามโดยไม่หันมาเป็นครั้งแรก

“คุณชื่ออะไร?”

“เปี๊ยก…เรียกเปี๊ยกสั้นๆ ก็ได้” ผมจำใจตอแหลนามจริง

“เรื่องที่ผ่านมาเมื่อกี้ควรลืมเสีย ผมไม่ชอบเสียรู้คนจึงต้องมีเล่ห์เหลี่ยมบ้าง แม้แต่พวกเดียวกัน”

“แบบนี้ใครเขาจะคบกับคุณ” ผมพลั้งปาก

นักบิดยุติการสนทนาทันควัน ส่วนผมนึกฉุนปากอัปรีย์ที่พล่อยประโยคอันตรายออกไป ครู่หนึ่งเขาตะโกนบอก

“คุณนี่น่าคบชะมัด คิดจะทำงานอะไรหรือ?”

“สุดแต่รุณจะเห็นสมควรดีกว่า” ชักใจชื้นขึ้น

“ถ้างั้นทำงานในไร่กับผมไหม เรามาหุ้นส่วนกัน ผมมีที่ดินเหลือเฟือ”

“เรายังรู้จักกันน้อยเหลือเกิน”

“ไม่น้อยหรอก เพื่อนผมพิสูจน์แล้ว…ตกลงนะ”

“ครับ”

นาฬิการเรือนทองของใหม่บนข้อมือผมบอกเวลาใกล้ครึ่งคืน กระเพาะซึ่งไม่ได้ตุนของหนักหรืออาหารมื้อเย็นสำรองไว้เริ่มสำแดงเดชลั่นโครกครากก็ข้ามไหล่นักบิดไปบ้าง

“จะไปไหนครับ?”

“หาข้าวกิน หาฝิ่นสูบ หาหญิงนอน”

คราวนี้ผมปิดปากตัวเองปล่อยนักบิดตะบึงรถผ่ารัตติกาลขึ้นถนนสายเมนอันเป็นถนนลูกรังที่รอบกายโล่งโปร่งสามารถเห็นเดือนข้างแรมประดับดาวสุกสกาวลิบๆ ๒ ยามตรง พาหนะของเราทะยานออกจากปากทางบ้านวังหินเลี้ยวเข้าเส้นทางสุขุมวิท มุ่งยังอำเภอแกลงด้วยความเร็วปานจะเหิน แรงลมเย็นเฉียบโกรกกรูจนหน้าชาอีกครั้งกระทั่งมองเห็นแสงไฟสว่างโพลงจับฟ้า

“ถึงสามย่านแล้ว แวะกินข้าวก่อน”

“ครับ”

“เลิกพูดคุณผมหรือครับเถอะ พูดนายกับเราดีกว่า มันถนัดปากหน่อย”

“สุดแต่นายรุณ” ผมแห่ตาม

นักบิดหัวเราะชอบใจเสียงลั่นแข่งกับเครื่องยนต์พลางชะลอความเร็วเมื่อถึงทางแยก ทันใดปรากฏเสียงนกหวีดกรีดเสียงรัวแหลม นักบิดสะดุ้งสุดตัวหลุดปาก

“ด่านตำรวจ!”

“ซวยแล้ว” ผมร่ำในทรวงเนื่องจาก “ของโจร” หลายชิ้นที่อยู่ในตัวนักบิดกับผมพอที่จะติดคุกได้สบายมาก ไฟฉายในมือตำรวจ ๗-๘ นายสองฝั่งถนนฉวัดวูบวาบเป็นสัญญานให้หยุดตรวจ รุณกัดฟันบอกเหมือนตัดสินใจแล้ว

“เปี๊ยก…จับตัวเราไว้ให้ดี ต้องแยกออกไป!”

ผมตัปบมือระหว่างเอวเขาไว้ นักบิดแตะขึ้นเกียร์สูง เครื่องยนต์รถแผดสนั่น รถกระโจนพุ่งเข้าหา ๓ ตำรวจทางหลวงกลางถนนทันที

“เฮ้ย….” กลุ่มโปลิศทางหลวงร้องเสียงหลงเผ่นหนีอุตลุค

ไล่ๆ กันเสียงปืนแผดระรัวกึกก้องไล่หลัง ผมพยายามระงับความตื่นเต้น หันไปชมพฤติกรรมตำรวจล้วนกรูกันขึ้นรถวิทยุที่จอดอยู่ไหล่ทางตามทันที

“มันตามใช่ไหม?” รุณโฟนถาม

“ตามมา”

“ไม่เป็นไร ปล่อยให้ไล่สักพักจะหยุดให้จับ”

ผมไม่มีปัญญาคัดค้าน เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมากับน้ำเสียงตลอดจนท่าทีขึงขังของเขาแลมีอำนาจแฝงเร้นลับอยู่ ผมเองดูเหมือนจิตส่วนหนึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลในสิ่งแฝงเร้นนั่นด้วย รุณบิดคันเร่ง “อัด” ความเร็วเต็มสูบเครื่องยนต์แผดลั่นรถพุ่งฉิว อึดใจเขาลดเกียร์ลง และทิ้งเกียร์ว่างค้างไว้ รถวิทยุวิ่งใกล้เข้ามาจนเห็นไฟแดงวูบวับบนหลังคารถถนัดตา นักบิดหลบรถเข้าไหล่ทาง ผมรีบลงจากรถ

“นายมาขับแทนเราได้ไหม?” รุณบอกคล้ายเกิดเรื่องปกติ

“ได้” รับคำพลางสลับตำแหน่งไปนั่งคร่อมอานแทนเขา

ร่างสันทัดของหนุ่มผิวนิลเคลื่อนไหวถอดหมวกส่งให้ก็เลยใส่ครอบหัวบังโฉมไว้ รถวิทยุหยุดเสียงไซเรนปราดเข้าจอดดักหน้า ประตูรถทั้ง ๓ บาน เปิดพรวดเกือบพร้อมกัน ๓ ตำรวจในเครื่องแบบประทับปืนจ้องแน่ว นิ้วในโกร่งไกพร้อมจิง จ่าตำรวจสั่งการ

“วางมือไว้บนหัวทั้ง ๒ คน เร็ว!”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: