1121. เรื่องเล่าปาฏิหาริย์หลวงพ่อจง โดยหลวงพ่อลิงดำ

เรื่องเล่าปาฏิหาริย์หลวงพ่อจง โดยหลวงพ่อลิงดำ

สำหรับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกนี้ คิดว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคงจะรู้จักได้ดี เพราะว่ามีชื่อเสียงมาก ท่านตายหลังหลวงพ่อปาน เพิ่งจะตายมาได้ไม่กี่ปีนี้เอง สำหรับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกนี้

ท่านบวชไล่เลี่ยกับหลวงพ่อปาน และเจริญพระกรรมฐานมาจากสำนักเดียวกับหลวงพ่อปาน แต่หลวงพ่อจงไม่ทำการก่อสร้าง มุ่งเฉพาะเจริญพระกรรมฐานและสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัทด้านอื่น ๆ มีการลงเลขยันต์ ขอน้ำมนต์ อะไรก็ช่างเถอะ แบบนี้หลวงพ่อจงตามใจท่านพุทธบริษัททุกท่าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการเงินแล้วหลวงพ่อจงไม่สนใจ ใครไปหาท่าน จะถวายหรือไม่ถวายก็ตาม และจะไปหาเวลาไหนก็ตาม ตี ๑ ตี ๒ ก็ตาม ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำให้ตามประสงค์ และในตอนต้นท่านก็เป็นนักธุดงค์ หลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อจงก็ดี มีประวัติการธุดงค์มาก ที่อาตมานำมาเล่าให้พุทธบริษัทฟังเพียงเล็กน้อย ก็เพราะเป็นเรื่องที่อาตมาพอจะรู้ได้ สำหรับที่ไม่ได้ติดตามท่านไปและท่านมาเล่าให้ฟัง หลายรายการที่ไม่นำมาเล่าให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเพราะเกรงว่าจะเป็นการเพ้อเกินไป เพราะเวลานี้นักธุดงค์แบบนั้นไม่ค่อยมี มีแต่ธุดงค์ปักกลดใกล้บ้าน

สำหรับหลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อจงก็ดี เคยธุดงค์ผ่านประเทศพม่าไปถึงพุทธคยา ประเทศอินเดีย ท่านไปกันถึงระดับนั้น สำหรับหลวงพ่อจงนี้ เป็นพระที่อยู่ในขั้นมัธยัสถ์มาก คำว่ามัธยัสถ์ในที่นี้ หมายความถึงเรื่องนี้ ศีลาจารวัตร คือประพฤติในศีลดีมาก การเงินไม่สนใจ ได้เท่าไรก็ตาม การก่อสร้างก็ไม่สร้าง

แต่ว่ามีพระน้องชายอยู่องค์หนึ่ง ชื่อหลวงพ่อนิล อยู่วัดหน้าต่างใน ความจริงวัดหน้าต่างนอกกับวัดหน้าต่างในมีเขตรั้วติดกัน น้องชายเป็นช่าง หลวงพ่อจงเป็นประธาน ใครไปใครมา เขาก็เอาเงินมาถวาย ก็มอบให้หลวงพ่อนิลไป หลวงพ่อนิลก็ทำการก่อสร้าง องค์นี้ก็ดีเหลือเกิน ดีจริง ๆ เรื่องการก่อสร้าง ไม่งุบงิบเงินของชาวบ้าน เรียกว่าไม่หาผลกำไรจากการก่อสร้าง นี่มันผิดกันนะ วัดที่จะเจริญรุ่งเรืองได้ก็ต้องมีพระดีแบบนี้ พระรู้จักเสียสละ

พระผู้ทรงอภิญญา

ทีนี้หลวงพ่อจงเป็นพระเจริญพระกรรมฐาน เขากล่าวกันว่าหลวงพ่อจงเป็นผู้ทรงอภิญญา ที่อาตมาจะเล่าเรื่องของท่านให้ฟัง แต่การปฏิบัติจะปฏิบัติมาอย่างไร เรื่องนี้อาตมาไม่พูดให้ฟัง เพราะว่าเวลานี้คำสั่งสอน ข้อวัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้าก็ยังคงสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ และแนวการปฏิบัติของหลวงพ่อจงและหลวงพ่อปานก็เป็นแบบเดียวกัน คือว่าปฏิบัติในแนวกรรมฐาน ๔๐ อย่าง

เรียกว่าปฏิบัติครบจำนวน ไม่ใช่ปฏิบัติแบบใดแบบหนึ่ง เพราะว่าเป็นพระมีเวลามาก นี่จะว่ากันถึงเรื่องปาฏิหาริย์ พระที่ทำธุดงค์ดี ๆ และเข้าป่าไปไกล ๆ จนกระทั่งประเทศอินเดียได้ก็ต้องมีความดีเป็นพิเศษ ความดีเป็นพิเศษด้านจิตใจนี่ก็เล่าให้กันฟังไม่ได้ ก็ไม่ได้คุยให้ฟัง จะเล่าถึงฟังถึงปาฏิหาริย์ส่วนหนึ่ง

คือว่าในคราวหนึ่ง หลวงพ่อปานได้สร้างศาลาหน้ามุขของวัดบางนมโคเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนั้นก็เป็นวันฉลองศาลา การมีงานฉลองของหลวงพ่อปานนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า ไม่มีมหรสพใด ๆ ถึงแม้ว่าปี่พาทย์ก็ไม่มีนะ ถ้าเป็นงานของท่าน หากว่าเป็นงานประจำปีของวัดท่านไม่ห้าม ถือว่าเป็นงานของประชาชน แต่งานที่ท่านจัดเป็นส่วนตัวนี้ มหรสพไม่มี ปี่พาทย์ที่เขาจะหามาช่วยก็ไม่รับ ท่านบอกว่าหนวกหู ท่านมีการสวดมนต์เย็นแล้วก็ถวายภัตตาหารเช้า แล้วก็มีเทศน์กัณฑ์หนึ่ง พระที่ท่านนิมนต์มาก็คัดพระที่ท่านชอบใจ

งานของหลวงพ่อปาน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีงานครั้งใดท่านต้องตั้งโรงครัวเลี้ยงคนที่มาในงาน ต้องหุงข้าว ๘ กระทะยังไม่ทันคนกินเลย ลองคิดดูว่าข้าว ๘ กระทะ ตั้งพร้อมกัน ต้องหุงกันทั้งวัน คิดดูว่าคนจะมากน้อยสักเพียงใด คนมากจริง ๆ หลวงพ่อปานท่านทำอะไรขึ้นมาก็คนมาก

ศาลาหน้ามุขท่านสร้างขึ้นมาราคา ๖,๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้สัก ๒ – ๓ แสน สมัยนั้น ๖,๐๐๐ บาท พอเริ่มเข้าตอนเย็นไม่ทันจะสวดมนต์เย็น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็นำเงินมาถวายครบ กว่างานจะจบก็ได้เงินอีกสัก ๒ – ๓ หมื่นบาท ไปสร้างโบสถ์ได้อีกสองหลัง โบสถ์ธรรมดานะ โบสถ์สมัยก่อนสร้างกันหมื่นบาทก็สวยแล้ว ถ้าสร้างกันเป็นกรณีพิเศษก็สามหมื่นบาทก็เด่นบอกไม่ถูก เพราะค่าของเงินแพง

ปาฏิหาริย์

ทีนี้งานฉลองศาลาหน้ามุขคราวนั้น หลวงพ่อปานมีคำสั่งให้อาตมาเองไปรับหลวงพ่อจงที่วัดหน้าต่างนอก ระยะทางไกลกันสัก ๑๐ กิโลนะ จากวัดบางนมโคถ้าไปทางเดิน ถ้าไปทางเรือก็ต้องอ้อมห่างกันประมาณ ๑๕ กิโล เพราะแม่น้ำมันโค้งมาก อาตมาก็ลงเรือเร็วของนายปั๋ง สมัยนั้นมีเจ้าของเรือเร็วคนหนึ่งชื่อนายปั๋ง นายปั๋งอาสานำเรือเร็วพาไป

ครั้นไปถึงวัดของหลวงพ่อจง ปรากฏว่ามีแขกนั่งอยู่ ๔ คน แขกนี่ไม่ใช่แขกจริง ๆ นะ เป็นคนไทย เขากำลังจะรดน้ำมนต์ ก็ไปนิมนต์ท่าน เวลานี้ก็ใกล้จะถึงเวลาสวดมนต์แล้วขอรับ หลวงพ่อปานใช้ให้กระผมมารับหลวงพ่อ เอาเรือเร็วมารับ ท่านก็บอกว่าคุณไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวฉันจะเดินไป

ก็กราบเรียนท่านว่า “…การเดินไปน่ะช้านะครับ กระผมเอาเรือเร็วมารับ หลวงพ่อรดน้ำมนต์เสร็จแล้วก็ไปกับกระผม…”
ท่านก็ไม่ยอมฟัง ท่านก็ไล่ให้กลับ บอกว่าไปเถอะ ประเดี๋ยวฉันไปทัน ถามว่า “หลวงพ่อจะไปยังไง”
ท่านก็ตอบว่า “…ฉันจะเดินไป…”

อาตมาก็ประวิงเวลา ในที่สุดท่านก็ไล่ให้กลับ ในเมื่อท่านไล่ให้กลับก็กลับ นั่งเรือเร็วมา พอกลับมาถึงวัด อีตอนที่จะมาน่ะหลวงพ่อจงเริ่มรดน้ำมนต์คนที่มาหาคนแรก คือรดเป็นรายบุคคล พอเรือเร็ววิ่งมาถึงวัด ก็เข้าไปกราบหลวงพ่อปานที่ที่รับแขก ไปรายงานท่านว่าหลวงพ่อจงไล่ให้กระผมมาก่อนขอรับ แล้วท่านกำลังรดน้ำมนต์คนอยู่ ๔ คน ท่านบอกว่ารดน้ำมนต์เสร็จแล้วท่านจะเดินมา กระผมจะคอยท่านก็ไล่ให้กลับ กระผมก็เลยกลับ กลับมารายงานให้หลวงพ่อทราบ ว่าประเดี๋ยวหลวงพ่อจงท่านจะมา ท่านจะเดินมาเอง หลวงพ่อปานพอได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ

บอกว่า “…ลิงดำเอ๊ย ! หลวงพ่อจงเล่นกลกับเอ็งเข้าแล้วล่ะ เอ็งลองไปดูบนศาลาการเปรียญซิ พระมาครบแล้วหรือยัง…?”

พอขึ้นไปถึงศาลาการเปรียญก็ต้องตกใจ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ปรากฏว่าหลวงพ่อจงมานั่งอยู่หัวแถว เพราะท่านเป็นพระอาวุโส พอท่านเห็นหน้าอาตมา ท่านกวักมือให้เข้าไปหา อาตมาก็เข้าไปกราบท่าน

ท่านก็ว่า “…เรือเร็วของคุณนี่มันช้าจริงนะ ฉันเดินมาถึงก่อนตั้งนาน…”

แหม…เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ฟังแล้วอัศจรรย์ไหม นี่เป็นตอนหนึ่งของหลวงพ่อจงนะ เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เล่าสู่กันฟัง

พบผีนางไม้

อีกคราวหนึ่งทางวัดไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย อยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี เขาจะฝังลูกนิมิตในโบสถ์ คราวนั้นก็นิมนต์อาตมาไปด้วย หลวงพ่อจงท่านก็ไป อาตมาไปในฐานะลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน ทีนี้เวลารับแขก รับแขกกันที่ศาลาการเปรียญ หลวงพ่อจงท่านเป็นคนลง “นะหน้าทอง” นะอะไรต่ออะไรก็ตาม อาตมามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือคุย เพราะว่ามีคนมาหาหลวงพ่อจงเต็มศาลาการเปรียญทั้งวัน ท่านก็ลงนะหน้าทองให้ สำหรับบาตรทางวัดเขาก็ตั้งไว้ ได้เงินเท่าไรก็เรื่องของวัด ตัวท่านเอง ท่านไม่มีราคา ใครจะนิมนต์ไปไหนก็ตามไม่เคยมีราคา และหากว่าว่างก็ไม่รังเกียจ ทำได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

ทีนี้ตกดึกเวลากลางคืน ถึงเวลาพักผ่อนก็เป็นเวลาที่มหรสพเลิกแล้ว เป็นเวลาสักหกทุ่ม เขาก็จัดกุฏิให้พัก หลังหนึ่งเป็นกุฏิ ๒ ชั้น อาตมากับหลวงพ่อจงพักอยู่ด้วยกัน ทีนี้เวลาประมาณตี ๒ อาตมาไม่รู้ว่าฉันอะไรเข้าไป อยากจะไปส้วม ไอ้ส้วมวัดนั้นก็อยู่ไกลเหลือเกิน เป็นส้วมสมัยเก่า ต้องเดินจากกุฏิไปในป่าช้า ก็ไป ในเมื่อมันปวดท้องส้วมนี่ก็ทนไม่ไหว ถ้าขืนทนมันก็ต้องเกิดการขายหน้าขึ้นมา

ก็ไปส้วมกลับมา แล้วก็งานวันขนาดนั้นไฟฟ้าก็สว่างเต็มวัด ตานี้พอเดินผ่านกุฏิหลังหนึ่ง ปรากฏว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางแสดงถึงความเจ็บปวด ก็เดินหันกลับเข้าไปดู คิดว่าผู้หญิงป่วย หรือมีคนมานอนป่วยอยู่ในกุฏิหลังนี้ ก็ปรากฏว่ากุฏิหลังนั้นใส่กุญแจเรียบร้อย พอเข้าไปใกล้กุฏิหลังนั้น เสียงครวญครางนั้นก็เงียบหายไป

แล้วเดินอ้อมไปดูด้านหลัง หน้าต่างปิด ไปเคาะประตูเรียกก็ไม่ปรากฏว่ามีคน เดินกลับออกมาอีกห่างประมาณ ๔ – ๕ วา ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นร้องครวญครางอีก แสดงถึงความเจ็บปวดอีกวาระหนึ่ง ก็กลับเข้าไปดูใหม่ อีคราวนี้เข้าไปดันประตูก็ไม่เข้า ตะกายขึ้นไปเปิดหน้าต่างบานใดบานหนึ่งก็เปิดไม่ออก ก็กลับถอยออกมา

พอถอยออกมาสัก ๓ – ๔ วา ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางอีก คราวนี้เอาใหม่ เข้าไปดูหน้าต่างบานหนึ่งรู้สึกว่าจะอ่อนแอมาก เลยเอาไม้กระทุ้งเสียกลอนหัก เปิดเข้าไปเดินเข้าไปดูกุฏิหลังนั้น ปรากฏว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย มืดไปหมด เอาไฟฉายส่องดู จะหาคนหรือสัตว์หรือแมวสักตัวก็ไม่มี ปรากฏว่าเป็นกุฏิร้าง

ก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงที่ร้องนี้ต้องเป็นเสียงของผี เรื่องผีนี่เป็นเรื่องธรรมดาที่อาตมาพบมามากแล้ว ไม่รู้สึกหนักใจ เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องของผีก็เลยเดินกลับ เสียงร้องก็หายไป พอกลับมาถึงกุฏิชั้นบนที่พักกับหลวงพ่อจง เมื่อขณะที่ไปปรากฏว่าหลวงพ่อจงจำวัด เมื่อกลับขึ้นมาปรากฏว่าหลวงพ่อจงลุกขึ้นนั่ง อาตมาขึ้นไปหาท่าน ก็ยิ้มกวักมือ เรียกให้เข้าไปหา ก็นอนอยู่คนละมุม คนละด้าน

ท่านถามว่า ” …เจอะนักเลงโตเข้ารึ…?”
ก็ถามว่าอะไรล่ะขอรับหลวงพ่อ ท่านก็ว่าเมื่อกี้เธอไปส้วมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่าใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ไม่ใช่คนหรอก นางไม้ ถามว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรขอรับ เพราะกุฏิหลังนั้นอยู่ห่างไปสัก ๒๐ วา แล้วเสียงร้องครวญครางก็ไม่ดังนัก

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ฉันรู้ รู้ตั้งแต่เธอเดินไปแล้วว่าเวลาขากลับเขาจะแกล้งร้อง ถามว่าเขาร้องทำไม บอกเขาแกล้งร้องหลอกเธอน่ะซิ แล้วถามถึงความประสงค์ ท่านบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเขารู้ว่าเธอไม่กลัวผี ก็เลยถามว่าผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นอะไร ท่านก็เลยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเขาอยู่ที่กุฏินั้น ฉันดูแล้วเพราะเห็นเสาตกน้ำมัน เสาด้านทิศตะวันออกมุมด้านทิศเหนือนั่นละนะ แต่อยู่แถบตะวันออก เป็นเสาตกน้ำมัน เมื่อทราบแล้วก็มานอนกัน ต่างคนต่างนอน ตอนเช้าก็ถึงเวลาฉันเช้า

ถามเจ้าอาวาสว่า “…กุฏิมีใครอยู่หรือเปล่า…?”
ท่านก็ตอบว่า “…ไม่มีใครอยู่หรอกขอรับ ทั้งนี้เพราะกุฏิหลังนั้นมีเสาตกน้ำมัน ใครอยู่ไม่ได้ พระองค์ไหนก็อยู่ไม่ได้ ถูกหลอกเสียจนอยู่ไม่ได้…”

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : watthakhanun.com
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : flickr, edtguide และ chonburipost
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: