525. หลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ พระอริยะสงฆ์ที่หลวงปู่ศุขเคารพมาก

หลวงพ่อคง…มีเชื้อสายเป็นชาวเมืองกำแพงเพชร ตัวหลวงพ่อเองน่าจะเป็นคนท้องถิ่นบ้านประจำรัง (บึงจำรัง) ต.หาดท่าเสา อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท เพราะในปัจจุบันมีญาติของท่านสืบเชื้อสายอยู่ในหมู่บ้านประจำรัง ท่านเกิดที่ใดไม่ปรากฏหลักฐาน เกิดเมื่อวันจันทร์ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๕๓ เป็นปีที่ ๒ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มรณะภาพ ปีฉลู พ.ศ.๒๔๕๖ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ มีอายุรวม ๑๐๓ ปี นับว่าท่านมีอายุยืนยาวถึง ๕ แผ่นดิน หรือ ๕ รัชกาล ของพระมหากษัตริย์ไทย ท่านได้ผ่านวิวัฒนาการของโลกมาอย่างมากมาย หลวงพ่อคงเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อบุคคลโดยไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะบำเพ็ญ ประโยชน์ทั้งทางศาสนจักรและราชอาณาจักร หลวงพ่อน่าจะอุปสมบทใน ปี พ.ศ. ๒๓๗๔

ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะพ.ศ. ๒๓๙๔ ขณะอายุย่าง เข้าปีที่ ๔๒ คือตอนปลายของรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชกาลที่ ๖ ท่านดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌายะเป็นเวลาถึง ๔ แผ่นดิน จึงมีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ท่านดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌายะให้แก่ประชาชนที่จะทำการอุปสมบท ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลาน จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทั่วไปตลอดลุ่มน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย ดังนั้นวัดคงสวัสดิ์วัฒนารามในยุคหลวงพ่อคงซึ่งเป็นเจ้าอาวาส จึงเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักมักคุ้น ของบุคคลทั่วไปทั้งใกล้และไกล มีพระสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาและศิษย์วัดเป็นจำนวนมาก มีถาวรวัตถุในทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก อาทิ อุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิ ศาลาท่าน้ำ จัดสร้างเป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนวบริเวณวัด สะอาดสะอ้าน ร่มรื่นด้วย หมู่ไม้ประจำวัด เช่น พิกุล บุนนาค สารภี จำปี จำปา กรรณิการ์ ฯลฯ เป็นที่เจริญตาเจริญใจของผู้ที่ได้มาพบเห็นเป็นรมณียสถานเป็นสถานที่ศึกษา เป็นที่เผยแพร่ศีลธรรม วัฒนธรรม ของชาติอย่างดียิ่ง เป็นสถานพยาบาล และอำนวยประโยชน์ แก่ประชาชนโดยทั่วไปฯลฯ

หลวงพ่อคงเป็นผู้มั่นคงในพระธรรมวินัย สงเคราะห์ อนุเคราะห์ประชาชนด้วย สังคหวัตถุ4 มีพรหมวิหารธรรม จึงเป็นผู้ประกอบด้วยอภินิหารอันน่ามหัศจรรย์เป็นอันมาก ศิษย์ของหลวงพ่อทั้งฆราวาสและบรรพชิตจำนวนมากมายนั้น ในเวลาต่อมา ได้เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพระเถระผู้ใหญ่ เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆหลายองค์และหนึ่งในหลาย ๆ องค์ ที่เป็นเกจิอาจารย์ที่มีอิทธิปาฏิหารย์อย่างยิ่งที่ชาวไทยและชาวต่างประเทศหลายคนรู้จักดีคือ “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า” อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ผู้เป็นอาจารย์ของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อดีตเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในรัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์จักรี

เรื่องอภินิหารอันน่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อคง เล่ากันว่า..ท่านมีปาฏิหาริย์ครบ ๓ ประการ คือ

อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์อันอัศจรรย์ คือ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
อาเทศนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ คือ รู้วารจิตของผู้อื่น
อานุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนอันเป็นอัศจรรย์
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่ายอดเยี่ยมที่สุด จะขอยกตัวอย่างของอภินิหารหลวงพ่อที่เลื่องลือกันมาเป็นเวลายาวนานแต่เพียงย่อๆดังนี้

๑.นายถีสอนแจ้งเล่าว่าในขณะที่ตนเป็นสามเณรหลวงพ่อท่านใจดี จึงไม่ค่อยกลัวเกรงท่านนัก วันหนึ่งหลวงพ่อนั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงกับนายถี จะเป็นว่าหลวงพ่อลุกขึ้นยืนหรือลูกมะม่วงหล่นลงมาถูกท่าน อย่างใดอย่างหนึ่งนายถีจำไม่ได้แล้วแต่ที่จำได้คือหลวงพ่อพูดว่า “มะม่วงนี่ไม่ดีนะเณร”ครั้นรุ่งเช้ามะม่วงต้นนั้น ซึ่งเมื่อวานใบเขียวสดทั่วกิ่งก้าน ก็เหี่ยวทั้งต้นและตายไปในที่สุด นั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ไม่น้อย เพียงหลวงพ่อเอ่ยว่า”ไม่ดี” ก็ทำให้มะม่วงต้นนั้นตาย

๒.บริเวณหน้าวัด ริมตลิ่งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามีต้นโพธิ์ใหญ่อายุหลายร้อยปี มีกิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ อยู่ไม่สูงจากพื้นดินมากนักต่อมามีความจำเป็นที่จะต้องตัดออก แต่ไม่มีผู้ใดกล้าตัดออกเพราะถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เวลาประมาณสามทุ่มคืนหนึ่ง หลวงพ่อครองผ้าจีวรเรียบร้อย (ห่มดอง) เดินไปที่ต้นโพธิ์นั้นตามลำพังครู่ใหญ่ แล้วก็เดินกลับมาโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเดินไปทำอะไรเพราะหลวงพ่อมักจะครองผ้าไปเดินบริเวณวัดเสมอๆ ต่างก็คิดว่าท่านไปเดินจงกรม ตกดึกคืนนั้นทั้งๆที่ลมสงัดกิ่งโพธิ์ใหญ่วัดโดยรอบหลายกำมือกิ่งนั้นก็หักลงมา ลักษณะเหมือนตัดด้วยมีดคม ตรงที่แยกจากลำต้น เล่ากันว่า “ราวกับสิน”(คือรอยตัดที่ขาดจากลำต้นอย่างเรียบร้อยราวกับใช้มีด)

๓.ในวัดมีชายสติไม่ดีหรือคนบ้ามาอาศัยอยู่คนหนึ่งตอนเย็นทุกๆวันหลวงพ่อจะต้มน้ำร้อนเลี้ยงพระเณรที่ทำงานต่างๆด้วยตัวท่านเองขณะที่ต้มน้ำร้อนหลวงพ่อจะสูบยามวนใหญ่(ใช้ยาเส้นมวนด้วยใบตองแห้ง)โดยใช้ดุ้นฟืนที่ติดไฟจุดยา ชายบ้าคนนั้นนั่งดูหลวงพ่อต้มน้ำและจุดยาสูบทุกวัน วันหนึ่งหลวงพ่อมวนยาเสร็จก็ใช้ปากคาบมวนยาไว้ ยังไม่ทันจะหยิบดุ้นฟืน คนบ้าคนนั้นได้หยิบดุ้นฟืนรีบส่งให้ท่านก่อน หลวงพ่อได้กล่าวกับพระเณรและผู้ที่อยู่ใกล้ๆท่านว่า “ไอ้นี่ มันดีนะ” คนบ้าคนนั้น ก็หายวันหายคืนกลับเป็นคนดี ในเวลาต่อมา

๔.ในพ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๐ พระวัดคงสวัสดิ์วัฒนารามีกิจนิมนต์จะไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านญาติโยม ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ ๒ กม.เส้นทางที่จะเดินไปบ้านงาน ปลอดบ้านคนมีป่าพงขึ้นสองฟากทาง ระหว่างเดินทางมีควายหลายฝูง และเล็มหญ้าตลอด ๒ ข้างทางปกติควายเห็นพระจะไล่ขวิดทันที มีพระหลายรูปแล้วที่ถูกควายขวิดจนมรณะภาพ วันที่ไปกิจนิมนต์นั้นไม่มีฆาราวาสเดินทางด้วย จึงมีแต่พระ ๕ รูป (รวมทั้งผู้เล่า มหาบุญธรรม เอี่ยมสมบูรณ์)

เมื่อหาชาวบ้านช่วยไล่ควายไม่ได้ ผู้เล่าจึงขอบารมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งด้วยการ อาราธนาไม้เท้าของหลวงพ่อ แบกนำหน้าพระทั้ง ๔ รูป เดินฝ่าฝูงควายไปควายที่กำลังและเล็มหญ้าอยู่สองข้างทางห่างจากทางเดินประมาณ สองศอกเศษ ต่างและเล็มหญ้ากันอย่างเพลิดเพลิน ไม่มีแม้แต่ตัวเดียวมองหน้าเงยดูพระ เหมือนไม่มีใครเดินฝ่าฝูงควายเลย นับว่ามหัศจรรย์จริงๆ

๕.ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี พ.ศ.๒๔๘๕ โจรผู้ร้ายชุกชุมทั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะภาคกลางในเขตเมืองชัยนาท ถูกปล้นแทบไม่เว้นแต่ละวันชาวบ้านต่างนอนตาไม่หลับอยู่กันด้วยความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าจะถูกปล้นวันไหน สิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่าก็ถูกฝังไว้ กลางคืนก็เข้าไปนอนในสวน เป็นการรักษาชีวิตให้ปลอดภัย บนบ้านเรือนก็มีแต่ภาชนะหม้อข้าวหม้อแกง ที่เป็นดินเผา สิ่งที่ทำด้วยโลหะจะเก็บฝังดิน

ในระหว่างนั้นชาวบ้านที่ดำเนินชีวิตตามปกติ คงมีแต่ชาวบ้านประจำรังเท่านั้น ไม่มีแม้แต่บ้านเดียวที่ถูกโจรปล้น ทั้งนี้เพราะบารมีหลวงพ่อ ผู้เล่าเคยถาม นายคำ โพธิ์ชัย ชาวบ้านประจำรังซึ่งปลกบ้านอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากผู้คนหลายกิโลเมตร ซึ่งเป็นป่าเปลี่ยว ว่า “รู้สึกกลัวโจรบ้างหรือไม่”ท่านตอบว่า “ผมมีหลวงพ่อเฒ่า ” (หลวงพ่อคง) เป็นที่พึ่งที่เคารพไม่เคยรู้สึกกลัวเพราะเชื่อมั่นในบารมีหลวงพ่อ

๖.ความทารุณโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่างรู้ซึ้งดี ทหารญี่ปุ่นไปตั้งที่ไหนก็ทำตัวเป็นนักเลงโต ข่มเหงชาวบ้านเป็นประจำ วันหนึ่งมีงานสมโภชรูปหลวงพ่อ ในงานมีลิเก ฉลองตกเย็นวันจัดงาน ทหารญี่ปุ่นกองหนึ่งยกขบวนมาจากทิศใต้ มีเรือยนต์ลากจูงเรือทหารมาหลายลำพอถึงหน้าวัดก็จอดพัก พลอยู่ที่หาดทรายหน้าวัดค่อนไปทางทิศเหนือ หุงหาอาหารเย็นกินกันแล้วตกกลางคืน ทหารญี่ปุ่นสวมเครื่องแบบคาดดาบทุกคน ก็พาไปนั่งดูลิเกด้วยความเรียบร้อย นั่งดูราวกับรูปปั้นปิดปากสนิท ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ลุกขึ้นเดินเพ่นพ่านผิดกับที่เคยเห็นที่อื่นๆหลายแห่ง ครั้นถึงเวลานอนพวกเขาก็พากันลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกัน เดินเข้าแถวกลับที่พักแรมรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้าก็ยกขบวนลากจูงเรือไปทางทิศเหนือ

๗.เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นในปีพ.ศ.๒๕๔๔ เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ เรือดูดทรายของเอกชนลำหนึ่งแล่นมาจอดดูดทรายในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดตรงกับอุโบสถของวัดที่กำลังบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ ตัวอุโบสถสูงเด่นเป็นสง่าและตั้งอยู่บนเนินเมื่อมองจากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาจึงค่อนข้างสูง เมื่อเรือดูดทรายลำดังกล่าวซึ่งมาใหม่ อาจจะเป็นเพราะเคยเห็นเรือดูดทรายลำอื่นเคยดูดก่อนแล้วบ้าง แต่เรือดูดทรายลำอื่น ๆ ไม่เคยมาดูดทรายบริเวณหน้าวัด มีแต่เรือลำดังกล่าวที่มาดูดทรายตรงหน้าวัดและตรงกับอุโบสถพอดี ทราบว่า มีคนในกลุ่มเรือดูดทรายดังกล่าวได้พูดว่า “จะดูดให้โบสถ์ทรุดเลย” ซึ่งอาจจะเป็นการพูดเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูง

แต่จะเป็นการจาบจ้วงหรือไม่ ต่อมาไม่นานเรือลำดังกล่าวได้จมอยู่ตรงที่ดูดทรายบริเวณนั้นนั่งเอง เจ้าของกิจการดังกล่าวได้พยายามให้นักประดาดำน้ำช่วยค้นหา ชิ้นส่วนที่สำคัญ แต่ไม่สำเร็จ เพราะทรายไหลมาทับมากจนถอดไม่ได้ หลังจากดำน้ำได้ไม่กี่วัน นักประดาดำน้ำก็ถูกฆาตกรรม และหลังจากนั้นเสี่ยเจ้าของกิจการก็ให้เรือดูดทรายลำใหม่มาดูดทรายหน้าวัดอีก ซึ่งก็จมอีก ประชาชนต่างพูดกันว่าเป็นเพราะ กิจการเรือดูดทรายดังกล่าวไม่เคารพนับถือหลวงพ่อจึงเกิดเหตการณ์ดังกล่าว…..

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : เรื่องเล่าชาวสยาม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: