6157. ด้วยพระปรีชาของพระพุทธเจ้าหลวง ร.5 !! หยุดสงครามครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย !! ร่วมรำลึกถึงเหล่าวีรชนผู้ล่วงลับ !! สงครามปราบฮ่อ

พ.ศ. 2394 ฮ่อ หรือกองกำลังชาวจีน ที่ต่อต้านราชวงศ์แมนจู ได้ก่อการกบฏโดยเรียกกลุ่มตัวเองว่า กบฏไท้ผิง เพื่อปลดปล่อยตนเองออกจากการปกครองของราชวงศ์แมนจูที่เป็นใหญ่ยึดครองประเทศจีนอยู่ในขณะนั้น จนเกิดการรบพุ่งกันเป็นการใหญ่ เมื่อปี พ.ศ. 2405 พวกไท้ผิงพ่ายแพ้ต้องหลบหนีไปซุ่มซ่อนตัวตามป่าเขาในมณฑลต่าง ๆ ของจีน ทั้งในมณฑลยูนนาน ฮกเอี้ยน กวางไส กวางตุ้ง เสฉวน และส่วนหนึ่งหลบหนีมายังตังเกี๋ย ทางตั้งเกี๋ยจึงดำเนินการปราบปรามทำให้พวกฮ่อต้องหนีมาอยู่ที่เมืองซันเทียน

Hong Kong, China — The Boxer Rebellion. Imprisoned boxers in their compound after lifting the blockade by the expeditionary forces. Photograph ca. 1900. — Image by © Bettmann/CORBIS

พ.ศ. 2408 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ขณะนั้นพวกฮ่อภายใต้การนำของ “ปวงนันชี” ซึ่งใช้ธงสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ได้ซ่องสุมกำลังที่ทุ่งไหหิน และได้ประพฤติตนเป็นโจรเที่ยวปล้นบ้านเมืองในดินแดนสิบสองจุไทและเมืองพวน ซึ่งขณะนั้นถือเป็นอาณาเขตของฝ่ายไทย

ในปี พ.ศ. 2417 กองกำลังฮ่อได้เตรียมกำลังออกเป็น 2 ทัพ ทัพที่ 1 จะเดินทัพลงมาที่เมืองเวียงจันทร์แล้วจะเข้าตีเมืองหนองค่าย(ชื่อเดิมของหนองคาย) ส่วนทัพที่ 2 จะเดินทัพไปทางหัวเมืองพันห้าทั้งหก จะเข้าตีเมืองหลวงพระบาง พ.ศ. 2418 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบข่าวศึกฮ่อ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) จัดส่งกองทัพจากกรุงเทพฯ ไปปราบฮ่อที่ได้ยกกำลังล่วงล้ำเข้ามาจนถึงเมืองเวียงจันทน์

พ.ศ. 2426 พวกฮ่อยกมารุกรานเมืองหลวงพระบางอีก โปรดให้พระยาพิชัย (มิ่ง) พระยาสุโขทัย (ครุธ) คุมกำลังไปช่วยก่อน แล้วให้พระยาราชวรานุกูล (เอก บุญยรัตนพันธุ์) เป็นแม่ทัพยกตามไป ฮ่อได้ข่าวก็ถอยหนีไปปักหลักสู้ที่ค่ายทุ่งเชียงคำ ซึ่งมีแนวกอไผ่แน่นหนาเป็นป้อมปราการ ฝ่ายไทยตามไปถึง ก็ยิงปืนใหญ่เข้าใส่ แต่กระสุนติดกอไผ่ ทำอะไรพวกฮ่อไม่ได้ พระยาราชวรานุกูล ขัดใจยกกำลังบุกเข้าไปถูกฮ่อยิงด้วยปืนใหญ่เข้าที่ขาบาดเจ็บสาหัส รุกคืบหน้าไม่ได้ ก็ได้แต่ล้อมค่ายเอาไว้สองเดือน ฮ่อเริ่มอดอาหารบาดเจ็บล้มตาย แต่ยังไม่ยอมแพ้ การปราบปรามฮ่อของไทยดำเนินการอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2428 จึงได้ถอนกำลังจากทุ่งเชียงคำ กลับมายังเมืองหนองคาย เนื่องจากขาดเสบียงอาหาร และแม่ทัพคือพระยาราชวรากูลถูกฮ่อยิงบาดเจ็บ

ในปี พ.ศ. 2428 ร.5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารที่ได้รับการฝึกหัดตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ โดยจัดเป็นสองกองทัพคือกองทัพฝ่ายใต้และกองทัพฝ่ายเหนือ

กองทัพฝ่ายใต้มีนายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน และได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย แล้วให้พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) ยกทัพหน้าไปตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ พวกฮ่อได้หนีไปในเขตญวน กองทัพไทยจึงรื้อค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำเสีย

กองทัพฝ่ายเหนือมีนายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) เป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อในแคว้นหัวพันห้าทั้งหก ยกกำลังออกจากกรุงเทพฯ พร้อมอาวุธแบบใหม่นอกจากช้าง ม้า โค ลาต่างและฬ่อ ก็ยังมีลูกแตกหรือลูกระเบิดและปืนกลที่สะดวกแก่การขนย้ายมากกว่าปืนใหญ่ โดยไปชุมนุมทัพที่เมืองพิชัยแล้วเดินทัพต่อไปยังเมืองน่าน แล้วยกกำลังไปถึงเมืองหลวงพระบาง จากนั้นได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่แคว้นหัวพันห้าทั้งหก เมื่อปราบฮ่อในแคว้นนี้ได้แล้วจึงได้ยกกำลังไปปราบฮ่อในแคว้นสิบสองจุไท

พ.ศ. 2429 สามารถปราบฮ่อได้ราบคาบแล้วจึงยกกำลังกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2430

อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ เป็นอนุสรณ์สถานที่กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ได้โปรดให้จัดสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของเหล่าทหารจากกรมกองต่างๆ ที่เสียสละชีวิต เพื่อป้องกันประเทศชาติในการปราบพวกฮ่อครั้งนั้น ประกอบด้วย กรมทหารอาสาวิเศษ กรมแปดเหล่า กรมฝรั่งแม่นปืน กรมทหารมาลา กรมสัสดี กรมเรือต้น กรมทหารมหาดเล็กและกรมการหัวเมือง โดยตั้งอยู่ที่ด้านข้างทางทิศตะวันตก ของสถานีตำรวจภูธรเมืองหนองคาย

ในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 จังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณทำการบูรณปฏิสังขรณ์อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ โดยได้ย้ายมาก่อสร้างองค์ใหม่ ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดหนองคาย(หลังเก่า)มีลักษณะเป็นศิลปะประยุกต์ แบบทรงสี่เหลี่ยม ก่ออิฐถือปูน มีฐานเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม กว้าง 4เมตร สูง10.10 เมตร ยอดทรงกรวยเหลี่ยมปลายแหลม และได้คัดลอกข้อความจากอนุสาวรีย์องค์เดิมมาไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยในวันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี จังหวัดหนองคาย จะประกอบพิธีบวงสรวง ขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวจังหวัดหนองคาย และเป็นการระลึกถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของบรรพบุรุษ ที่ต่อสู้ปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากการรุกรานของพวกฮ่อ

อ้างอิงข้อมูลจาก – th.wikipedia.org/wiki/สงครามปราบฮ่อ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: