6100. รักซึ้งตรึงใจ กับตำนานรักอมตะระหว่าง พญานาคกับคน!

สำหรับเรื่องราวความรักแท้ที่ปรากฏเป็นตำนานตามสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเรามีอยู่ไม่น้อย กลายเป็นตำนานรักอมตะเคียงคู่สถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รำลึกถึงกัน บทความนี้จึงหยิบยกสถานที่ท่องเที่ยวกับตำนานรักอันโดดเด่นระหว่าง พญานาคกับคน ขึ้นมารับเดือนแห่งความรัก ที่มีทั้ง“วาเลนไทน์” กับวันแห่งความรักในแบบตะวันตก และ“มาฆบูชา” กับวันแห่งความรักในทางพระพุทธศาสนา

ตำนานรักระหว่างพญานาคกับคน ที่ หนองหาน : ตำนานรัก“ผาแดง-นางไอ่”
หนองหาน หนองน้ำกว้างใหญ่ในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และมีพื้นที่กว้างไกลสุดสายตากว่า 22,500 ไร่ ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญที่อุดมสมบูรณ์สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย และถ้ามาเที่ยวในช่วงเดือนตุลาคม- มีนาคม คุณจะได้เห็นบัวแดงน้อยใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งละลานตาสวยงามไปทั่วเวิ้งน้ำ แต่ความงดงามของทะเลบัวแดงแห่งนี้ ใต้ผืนน้ำยังมีตำนานพื้นบ้านที่เล่าขานถึงเรื่องราวความรักระหว่างหนึ่งหญิงสองชาย มีหนองหาน เป็นฉากหนึ่งในตำนานเรื่องนี้

ในตำนานกล่าวไว้ว่า มีเมืองๆ หนึ่ง ชื่อว่า “นครเอกชะทีตา” มี “พระยาขอม” เป็นผู้ปกครองดูแล และมีพระธิดาสาวสวยนามว่า “นางไอ่คำ” ความงามของนางเป็นที่เลืองลือไปทั่ว เป็นที่หมายปองของบรรดาเจ้าชายเมืองต่างๆ ด้าน “ท้าวผาแดง” โอรสเจ้าเมืองผาโพงได้ยินข่าวลือ ก็เกิดความหลงใหลใฝ่ฝันในตัวนางเป็นอันมาก จึงวางแผนทอดสัมพันธไมตรี ทันทีที่ทั้งสองได้พบกันก็เกิดเป็นความรักขึ้นจากบุพเพสันนิวาสในชาติปางก่อน

ฝ่าย “ท้าวพังคี” โอรสของ “สุทโธนาค” เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเห็นความงามของนางไอ่ ด้วยทั้งสองมีความผูกพันเป็นสามีภรรยากันแต่ชาติปางก่อน

เมื่อนางไอ่เติบโตเป็นสาว พระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีประกาศแจ้งข่าวไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ให้จัดบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันเพื่อบูชาพระยาแถนให้บันดาลฝนตกลงมาตามฤดูกาล และหากบั้งไฟของผู้ใดขึ้นสูงกว่า คนๆ นั้นจะได้แต่งงานกับนางไอ่ มีผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก ครั้งนี้ท้าวผาแดงได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วย

ฝ่ายท้าวพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาล รู้ข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วย และบิดาห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ก่อนเดินทางมาถึงเมืองเอกชะทีตา ท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บางส่วน ส่วนตนเองแปลงร่างเป็น‘กระรอกเผือก’ ออกติดตามชมความงามของนางไอ่ในขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล

การแข่งขันบั้งไฟเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ซึ่งการแข่งขันบั้งไฟครั้งนั้น ท้าวผาแดงกับพระยาขอมมีการพนันกันว่า ถ้าบั้งไฟของท้าวผาแดงชนะ พระยาขอมจะยกนางไอ่ให้เป็นคู่ครอง ผลการแข่งขันปรากฏว่าบั้งไฟของพระยาขอมและท้าวผาแดงต่างไม่ขึ้นด้วยกันทั้งคู่ คงมีแต่บั้งไฟของพระยาแดดเมืองฟ้าแดดสูงยาง และของพระยาเชียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเวลานานถึงสามวันสามคืน แต่พระยาทั้งสองเป็นอาของนางไอ่ การแข่งขันเพื่อได้นางไอ่เป็นรางวัลจึงต้องล้มเลิกไป

เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้ว ท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้ เพราะหลงใหลในความงามของนางไอ่จึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอีกครั้งและแขวนกระดิ่งทองไว่ที่คอไว้ เมื่อกระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่ กระดิ่งทองมีเสียงดังกังวาลขึ้น

นางไอ่ได้ยินเสียงก็เกิดความสงสัยเปิดหน้าต่างออกไปเห็นกระรอกเผือกและเกิดอยากได้ นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย นายพรานออกติดตามกระรอกเผือกตามไปติดๆ แต่ยังจับไม่ได้สักที จึงไล่ตามไปเรื่อยๆ จนมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น กระรอกเผือกก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อด้วยความหิว และด้วยกรรมในชาติปางก่อน ในที่สุดพรานจึงได้โอกาสยิ่งกระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกดอกอาบยาพิษ

เวลานั้นท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้ตัวว่าตนเองต้องตายแน่ๆ จึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาทราบก่อนตาย และตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคทั้งเมืองได้ทั่วถึง เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตาย นายพรานได้ชำแหละเนื้อกระรอกไปให้ผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงกินโดยทั่วกัน เมื่อบริวารไปบอกสุทโธนาค เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ก็ทรงโกรธแค้นมาก

จึ่งสั่งบาวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดเมืองพระยาขอมให้ถล่มทลายด้วยความแค้น ใครที่กินเนื้อกระรอกให้ฆ่าเสียให้หมด ขณะที่พญานาคออกอาละวาดทำลายบ้านเมืองอยู่นั้น ท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า “บักสาม” มุ่งหน้าไปหานางไอ่ ระหว่างทางเห็นพญานาคเต็มไปหมด และเล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่ฟัง แต่นางไม่สนใจและนำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ผาแดงกิน ท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไร นางตอบว่า เป็นเนื้อกระรอกเผือก ผาแดงจึงไม่ยอมกิน

พอตกกลางคืนเหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จู่ๆ แผ่นดินเมืองเอกชะทีตาก็ถล่มทลายลงเป็นหนองหาน ซึ่งเป็นต้นน้ำปาวในปัจจุบัน ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาคจึงคว้าแขนนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้ปลอดภัย แต่เนื่องจากนางไอ่กินเนื้อกระรอกเผือกเข้าไป แม้จะหนีไปทางไหนก็ถูกพวกพญานาคติดตามไม่ลดละในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินทันที

เมื่อนางไอ่จมดินไปต่อหน้าต่อตา ท้าวผาแดงกลับถึงเมืองผาโพง เกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่ตลอดเวลา จนล้มป่วยตรอมใจตายตามนางไอ่ เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผี มีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วาย ครั้นมีโอกาสเหมาะ ผีท้าวผาแดงได้บริวารกองทัพผีเป็นแสนๆ ไปรบกับพญานาคให้หายแค้น

โดยล้อมเมืองบาดาลไว้รอบด้าน ผีท้าวผาแดงและสุทโธนาคเจ้าเมืองบาดาล ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มีใครแพ้ชนะ ฝ่ายเจ้าเมืองบาดาล ซึ่งแก่ชรามากแล้วไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไป เพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรย จึงไปขอร้อง “ท้าวเวสสุวัณ” ผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินให้ ท้าวเวสสุวัณทราบว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่า จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกัน อโหสิกรรมให้กัน เมื่อผีท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็เข้าใจ เหตุการณ์ทั้งหมดจึงยุติลงนับแต่นั้น

คลิ๊กเพื่อรับชมคลิปวีดีโอ

ขอบคุณคลิปจาก : พญานาค
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : nakanara.com
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: