ถนนสีดำ ตอนที่ 4 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

แก้วที่คิคถึง

 ๐๖.๓๐ น. พี่สุกขึ้นเก็บแท่นชาร์จแบคฯ โทร.มือถือ เเข้าถุงเป้ หยิบเอาเสื้อผ้าชุดใหม่เตีรยมไว้ผลัดเปลี่ยน ก็เข้า ห้องน่ำชำระคราบไคลจนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสดชื่นอีกโข สมองอันหนักอึ้งจากภาวะต่างๆ ที่รับรู้โปร่งโล่งจึงขยับ หมายกคปุ่มทีวีชมข่าวรับอรุณ กลับปรากฎกริ่งลัญญาณ โทรศัพท์ประจำบ้านระรัวขึ้นก่อน

ละจากจอแก้วคว้ากระบอกหูโทร.ขึ้นรับ กรอกคำสั้นๆ

“สวัสดีครับ”

เสียงโทร. จากต้นลัญญาณด้งชัคเจน

“ผมคอนนะครับ ทึมงานผมมาถึงหรือยังครับ”

“ยังครับ มีอะไรสั่งไว้ได้เลยคุณ”

“อาเอากล้องถ่ายรูปมาด้วยใช่ไหมครับ”

“พร้อมครับ”

“เตรียมไว้ด้วยครับ ผมจะไปรับ รายละเอียดไว้คุยกันบนรถครับ”

“ตกลง”

วางกระบอกหูโทร.คืนแท่นละไปเปิดถุงเป้คว้ากล้องออกมาทดสอบ สมรรถนะ ท่ามกลางเลือดลมสูบฉีดแรงคล้ายรหัสบอกเหตุล่วงหน้าจะต้อง เผชิญภารกิจสำคัญ

ราว นาทีโดยประมาณจึงปรากฏโตโยต้าปิกอัพขับเคลื่อน ๔ ล้อ กระหึ่มเข้ามากลับรถหันหัวออก จ่าทูนเปิดประตูรถก้าวลงมาพลางกด ล็อกเบาะนั่งดีดให้พี่เสือกตัวเองเข้าไปนั่ง เสียงประตูปิดดังตึง จ่าหนุ่ม โชเฟอร์พุ่งรถออกจากประตูบ้านผ่านถนนซอยออกเส้นทางหลวงท่าม กลางพาหนะเริ่มวิ่งไปมาหนาตา

“ต้องขอแรงพี่เก็บภาพไว้ก่อนฝ่ายกองวิทยาการเข้าไปพิสูจน์แล้ว เคลื่อนย้ายศพ” จ่าเจ้าถิ่นเอ่ยเสียงเครียด

“มีคนตายหรือครับ”

“สายของผมเอง”

“เสียใจด้วยครับ”

โชเฟอร์เสริมพลางเร่งความเร็ว “ตายแบบชวนสงสัยครับ เหมือน ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย จึงมาตามอาเข้าไปถ่ายภาพเพื่อนำมาวิเคราะห์การทำ งานของเราร่วมกันว่า เราบกพร่องจุดไหนถึงก้าวช้ากว่าคนร้าย ทั้งๆ ที่เรา ทำงานเชิงรุกตลอดเหมือนที่อาเห็น”

“ผมพร้อมหยั่งที่เคยพูด และยังยืนยันว่ายินดีเสียสละ”

นั่นเป็นคำยืนยันนอกจากประโลมใจมิตรซึ่งเป็นข้าราชการไทยระดับ ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างมุ่งมั่น และเสียสละเป็นปฐม เพราะ ณ สถานการณ์ เช่นนี้ไม่มีเหตุอื่นให้เลือก

ค่ายสุรสีห์…วิงรถด้วยความเร่าร้อนเช่นนั้นประมาณกว่า ๑๐ นาที เล็กน้อยเราถึงผ่านหน้าค่ายซึ่งอยู่ฝังซ้ายเลยไปอึดใจฝังเดียวกัน โชเฟอร์จึง ชะลอความเร็วเลี้ยวข้ามเลนเข้าเขตบ้านพักทหาร กองพลทหารราบที่ ๙ ท่ามกลางอาทิตย์อุทัยลอยดวงสีแดงล้มระเรื่อ

เขตบ้านพักนักรบกองพลที่ ๙ ตั้งอยู่ทั้ง ๒ ฟากฝังที่พาหนะผ่าน ล้วนเป็นบ้านพักทหารราวพักใหญ่จึงเลี้ยวซ้ายอีกครั้งก็ปรากฏอาคารคล้าย แฟลตทหาร ๓- ชั้นเรียงรายให้เห็น

น่าประหลาดที่เขตทหารปราศจากการตรวจค้นหรือแลกบัตรดุจ หมู่บ้านเอกชนทั่วไปซึ่งจะมี รปภ.รักษาการณ์ตรวจตรารถเข้า-ออก รถไป หยุดยังอาคารหลังที่ ๓

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดครึ่งท่อนก้าวออกจากใต้ถุนอาคารมาที่ รถอย่างคุ้นเคย จ่าร่างใหญ่ผลักประดูรถเปิด หนุ่มฉกรรจ์ยกมือส่ง “ซิก” พลางกระโจนขึ้นกระบะหลัง

จ่าโชเฟอร์เคลื่อนรถผ่านสิ่งปลูกสร้างลึกเข้าไปอันสังเกตคล้าย ทางเกวียน แต่มีร่องรอยรถยนต์เข้าออกได้ ซึ่งอาจเป็นล้อรถของจ่าคอน ขับเข้าไป จึงตั้งข้อสังเกตกับ ๒ จ่า

“ตอนคุณสองคนขับรถเช้าไปครั้งแรก ได้ให้ความสำคัญกรณี รอยล้อรถที่เห็นหรือเปล่า”

“ขณะเราผ่านเข้าไปผมเริ่มเอะใจเพราะเข้าล็อกที่จ่าแหวงบอก มี รถปิกอัพน่าสงสัยสองคันขับออกมาจากปายูคาฯ ตอนโทร.ถึงผมก็พบอย่าง ที่พี่เห็นเหมือนกัน ปกติแล้วฝ่ายทหารไม่ค่อยใช้เส้นทางนี้ หญ้าจึงขึ้น ปกคลุมหมด”

จ่าร่างใหญ่ตอบแทนตามวิสัยเจ้าหน้าที่จวบรถผ่านแนวป่ายูคาฯ เข้าไปถึงที่พักขนาดเล็กหลังคามุงแฝก โชเฟอร์หยุดรถบอกพอได้ยิน

“หลังนี้ครับอาที่พี่ทูนกับผมพบคนตาย”

สิ้นคำ ๒ จ่าผลักประดูรถเปิด โชเฟอร์เตือนบ่งความห่วงใย

“ระวังตัวด้วยครับ”

พี่คว้ากล้องถ่ายรูปขึ้นคล้องไหล่ ก้าวตามลงจากรถ เห็นจ่าหนุ่มดึง กุญแจรถติดมือไป แต่ไม่ปิดประดูส่งตนดุจจ่าทูนซึ่งเปิดอ้าไว้หลังพี่หลุด ร่างเหยียบผืนหญ้า

๓ จ่ากระชากปืนสันคู่กายออกเตรียมป้องกันภัยมืด พี่เปิดฝา ปิดเลนส์กล้องกดชัตเตอร์เก็บภาพโดยรอบๆ บริเวณที่พักกับตัวกระท่อม แลโทรมๆ ดีฝาด้วยไม้ไผ่รอบด้าน

ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ประตูซึ่งเปิดอยู่ กลิ่นอายความตายเตือนให้ระวัง ยิ่งขึ้น เพราะสภาพทั่วไปสงัดเงียบจนรู้สึกวังเวง

ก่อนผ่านประตูเข้าไป จ่าเจ้าของพื้นที่หล่นคำเบาโหวง

“พี่กับจ่าคอนเข้าไป ผมจะระวังข้างนอกกับเพื่อน”

ความไม่ประมาทของ ๓ เจ้าหน้าที่สร้างความอุ่นใจแก่พี่ขึ้นโข พอ หลุดร่างตามโชเฟอร์เข้าไป ก็พบชายฉกรรจ์ในชุดกางเกงขายาวสีเขียว พราง สวมเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงินอยู่ในสภาพถูกแขวนคอด้วยเชือกร่มไน ล่อนสีเขียวขนาดนิ้วก้อยเด็ก ใบหน้าซีดดุจปลาตาย ตาเบิกโพลง สิ้นจุก ปาก จึงกดชัตเตอร์เก็บภาพไว้ตั้งแต่เท้าจรดศีรษะ

สภาพภายในตั้งแคร่ไม้ไผ่ ‘ปูด้วยผ้านวมเก่ากับหมอน ผ้าห่มกับ มุ้งสีเขียวเก่าๆ ถูกตลบขึ้น ขวามือตั้งโอ่งมังกรขนาดกลาง ใกล้ๆ กันมี ชั้นวางถ้วยจาน ต่ำลงมาจรดพื้นปรากฏหม้อหุงข้าวขนาดใหญ่กับขนาด เขื่อง กระทะไฟฟ้าเปิดฝาอยู่ปรากฏแกงล้มดอกแคแห้งติดก้นกระทะ จึง เก็บภาพทั้งปวงไว้หมด

“อามีฟิล์มสำรองหรือเปล่าครับ”

“มีครับ จะถ่ายที่ไหนอีกหรือ”

“ถัดจากหลังนี้เข้าไปอีกราวยี่สิบเมตรยังมีอีกหลัง คิดว่าสำคัญครับ”

“ไปที่นั่นเลยคุณ เวลามีน้อยใช่ไหม”

“ครับ”

เรา ชีวิตกลับขึ้นรถขับเข้าไปตามระยะที่จ่าคอนระบุพบกระท่อม อีกหลัง พอย่างเข้าพ้นประตูจมูกสัมผัสกลิ่นนํ้ายาเคมีฉุนกึก สภาพภาย ในว่างเปล่า กลางพื้นกระท่อมปลูกคร่อมดินเป็นแอ่งลึกคล้ายถูกกดทับ จึงเก็บภาพไว้

ที่ชวนประหลาด กระท่อมนี้มีแต่หลังคามุงแฝก ปราศจากผนังหรือ ฝาไม้ไผ่ปิดกั้นนอกจากด้านหน้า

ฟิล์มม้วนที่ ๒ ถูกบรรจุเพื่อถ่ายภาพพื้นดินซึ่งถูกกวาดจนเตียน

มิต่างพื้นปุน ยังปรากฏรอยกะด่างดำเป็นจุดๆ

“ด่วนหน่อยครับ”

“ถ่ายทั่วแล้ว มีที่อื่นน่าสงสัยอีกหรือเปล่า”

“คิดว่าหมดแล้วครับ เราต้องรีบไปจากที่นี่”

แก้วจ๊ะ สภาพโปร่งโล่งแต่เหม็นน้ำยาเคมีที่อวลอยู่ชวนอาเจียน ดุจอากัปกิริยาโชเฟอร์ทำให้พี่รีรอไม่ได้ แม้ใคร่สำรวจพื้นที่ใกล้เคียงจึงพา กันกลับขึ้นรถมิได้แตะต้องทุกสรรพสิ่งรวมถึงศพผู้เสียชีวิตชวนสังเวช

แวะส่งเพื่อนจ่าพูนยังที่พักโดยไม่พูดจาถันกระทั่งพ้นเขตทหาร มุ่งเข้าตัวเมืองกาญจน์ จ่าร่างใหญ่ซึ่งหน้าตาเครียดขรึมบอกโชเฟอร์

“เข้าตลาดโต้รุ่งล้างรูปเลยนะ ใกล้กับขนส่ง ร้านเพื่อนถันเสีย

เวลานิดหน่อย”

ส่วนพี่พอทราบเจตนาก็ส่งฟิล์มม้วนแรกับที่ยังคาอยู่ในกล้องด้วย ความระมัดระวังให้คุณจ่าร่างใหญ่ไปจัดการ ณ บี.อาร์ต คัลเลอร์แลป ตรง ข้ามกับสถานีขนส่งหรือ บขส.กาญจนบุรี เพียงลำพังซึ่งคาดว่าไม่เกิน ๔๐ นาที

เหลือจ่าเจ้าของรถเพียงลำพังก็ทนนั่งอัดควันบุหรี่เร่งวันตายอันคิด ว่าคลายเครียดฆ่าเวลาแทนอัดอั้นตันหัวอกไม่ไหวกรณีไม่แจ้งเหตุให้เจ้า ของพื้นที่รับทราบด้วยความเกรงใจ เพราะ สภ.อ.เมืองตั้งอยู่ห่างคนละ ส่งถนนจึงออกปาก

“จะเข้าแจ้งเรื่องคนตายกับท้องที่ไปชันสูตรพลิกศพไหมคุณ”

จ่าหนุ่มจากค่ายนเรศวรเพียงเหลือบมองปิดปากเงียบ คิ้วเข้ม ขมวดมุ่น เปาลมจากปากส่ายหน้าไปมาจนต้องคาดเดาเอาเอง

“ต้องรายงานอาจารย์ก่อนหรือครับ” พี่ซัก

คราวนี้ เขาผินหน้ามาเปิดปาก สีหน้าไม่ต่างจากจำเลยจำนน พยานกลางศาล

“พี่ฑูนเป็นเจ้าของเรื่อง ผมว่าควรรายงานให้อาจารย์ทราบหรือ ขอความเห็น เท่าที่เห็นในที่เกิดเหตุมันคงไม่ใช่แหล่งพักยากับขายเสีย แล้ว ลูกน้องพี่ฑูนอาจไม่ได้ผูกคอตายธรรมดา อาอย่าด่วนคิดในด้าน ลบนะครับ เราเป็นเพียงช้าราชการระตับล่าง อามีประสบการณ์กว่าผม คงอ่านทุกอย่างรอบคอบกับเข้าใจพวกผมบ้างไม่มากก็น้อย”

“เข้าใจมากครับ ไม่ใช่น้อย ถ้าที่นั่นเป็นแหล่งผลิต เป็นที่เก็บหัว เชื้อเคมีสำคัญกับการผลิต แต่เรามีเวลาน้อย ดีแล้วที่คุณคิดถึงอา ไว้วาง ใจทั้งๆ ที่เห็นความตายกับตา และที่สำคัญ กรุณาภาคภูมิในหน้าที่ที่พวก คุณประพฤติเถอะ ความสัตย์ชื้อกับการเสียสละที่ผ่านๆมา อาเชื่อถือ กับศรัทธาพร้อมเดินตามรอยพวกคุณ…ประสบการณ์ด้านลบกับบวกนั้น มันห่างกันสุดขั้ว เหมือนคำสดุดีกับเสียงสาปแช่ง”

สิ้นคำ นักรบหนุ่มไหวร่างยื่นมือให้ ยิ้มชื่นทางสีหน้ากับแววตา ครั้งแรก กล่าวหนักแน่น

“ผมขอพูดอย่างที่อาจารย์บอกได้ไหม กับขอจับมือด้วยครับ”

“ได้เลยคุณ”

เราสัมผัสมือกัน เขาบีบมือพี่แน่น แจงชัดถ้อย

“อาจารย์บอก การเปลี่ยนสีดำให้ขาวนั้นยาก แต่ให้ขาวเป็นดำ ใครก็ทำได้”

แก้วจ๊ะ คำจำกัดความนี้มิได้ยกก้นยกหาง เพราะรู้จักตัวเองกับ ย้อนมองรอยตีนตนเสมอ ไม่เคยคาดหวังไอ้สนิมเสนียดตนนี้หลุดจาก ป่า(เถื่อน) สู่ถนนปัญญาโดยมีสติกำกับ หาใช่โซ่ตรวนกำหนด

จริงสิ ความดีไม่มีวางขายตามแผง ในห้าง ในมหา’ลัย จรดใน เขตอภัยทาน

เสียงเพลงชาติไทยดังมาจากสถานีขนส่งกับสถานีตำรวจภูธร จังหัวดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่สาวเชือกอัญเชิญธงไตรรงค์สู่ยอดเสา หน้าร้านถ่ายรูปปรากฏหุ่นสูงใหญ่จ่าทูนยืนร่างตรงแน่วจนผืนผ้าสีแดง-  ขาว-น้ำเงิน พลิ้วสะบัดรับแรงลมต้นวสันตฤดูเหนือยอดเสา

ประตูรถถูกเปิดตามด้วยส้มเสียงอาทร

“รอนานไหมพี่”

“ถ้าเป็นผมคงอีกหลายวัน ของคุณทูนคงเป็นรายแรกที่เข้าไปใช้บริการ”

จ่ายิ้มดุจหัวเราะปราศจากเสียง ดวงตาซึมเศร้า จึงกล่าวให้กำลัง ใจขณะดึงประตูรถปิด โชเฟอร์เคลื่อนรถ

“อย่าท้อนะคุณ เรื่องไหนคุณคิดว่าผมพอช่วยได้ กรุณาอย่าเกรง ใจเลย…เออ ฟิล์มที่ล้างออกมาได้ผลกี่มากน้อยครับ”

“ชัดเจนหมดครับ”

สิ้นเสียง จ่าทูนส่งอัลบั้มให้ พี่รับไปพลิกชมโดยพยายามพิเคราะห์ พบภาพแรกคลื่นความรู้สึกกระตุ้นให้จ้องภาพอันชวนหดหู่ของผู้ประสงค์ ฆ่ตัวตายไม่ธรรมดาเช่นที่โชเฟอร์หนุ่มระบุ เพราะปกติวิสัยผู้มีเจตนาฆ่า ตัวตายไม่น่าจะพิถีพิถันกับการสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยดังในภาพ

เสื้อยืดคอกลมสีนํ้าเงินก็ถูกยัดเข้าในกางเกงซึ่งไม่มีเข็มขัด เท้า ลอยจากพื้นราว ๒ ฟุต อันหมายถึงผู้ตายน่าจะใช้เก้าอี้ขึ้นไปยืนสอดคอ เข้าบ่วง แต่ไม่มีเก้าอี้

แปลกกว่านั้น การสวมใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว ผู้ตายผูกเชือกแต่ละข้าง ต่างกันสิ้นเชิง คล้ายมีผู้อื่น ๒ คนผูกมัดให้ กระทะไฟฟ้าก็บ่งผู้ตายอัดปรุง ไว้ ไม่ท้นชักปลั๊กไฟออกจนน้ำแห้งไหม้ดำติดก้นกระทะ

ฆาตกรพยายามเบี่ยงเบนเหตุ และมีจำนวนเกินกว่า ๒ คน

ที่พักอีกหลังปราศจากฝาดูโปร่งโล่งอวลกลิ่นน้ำยาเคมี ทั้งยังปรากฎ ภาพบนพื้นดินยุบเป็นรอยเหมือนถูกกดทับจากเครื่องปั๊มเม็ดยาจาก เครื่องปั๊มราว ๑๕ หัวตอก

ร่องรอยทั้งหลายในภาพพี่ได้แจงแก่ ๒ จ่า พลางสรุปความเห็น

“สภาพผู้ตายฟ้องซัด คนร้ายประสงค์กลบเกลื่อนให้เป็นเรื่องฆ่า ตัวตาย ประกอบกระท่อมอีกหลัง ผมคาดว่าใช้เป็นที่เก็บนั้ายาเคมีกับ แท่นผลิตซึ่งถูกเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ออกไปตอนจ่าแหวงโทร.บอกคุณทูน นั้นแหละครับ”

“ผมกับจ่าคอน จ่าแหวง ก็คิดแบบพี่ ที่ไม่อยู่ค้นหารายละเอียด กว่านี้ เพราะห่วงเพื่อนกับลูกเมียมัน”

ล้มเสียงแหบพร่าจำพูนบ่งความเจ็บปวดแม้พยายามระงับไม่ แสดงออก เพราะเป็นการลงทุนที่แพงอย่างยิ่ง จึงพยายามเน้นมิให้ พวกเขาท้อถอย หาก “สี” เดียวกันอาศัยยูนิฟอร์มทรงเกียรติบ่อนทำ ลายความสงบชนในชาติ

กลับเข้าบ้านพักอีกครั้งปรากฏรถตู้สีขาวอันทีมงาน ป.ป.ส.จอดอยู่ จ่าโชเฟอร์นำรถเข้าไปจอดเทียบ พี่กับจ่าพูนพากันลงจากรถขณะจ่าหนุ่ม รองหัวหน้าทีมขอตัวโทร.ถึงอาจารย์วโรทัยหัวหน้าชุดเพื่อแจ้งเหตุร้ายที่ เกิดแก่สายล่อซื้อ

โผล่เข้าไปในบ้านปะนักรบดอย ๗ นายรวมกันภายในห้องโถง อิริยาบถต่างกัน จึงทักทายตามปกติ จ่าเจ้าบ้านยืนกวาดตาคล้ายสำรวจ ครู่หนึ่งก็ปลีกตัวไปทางหลังบ้าน

จ่าดำถามประโยคแรก

“ไปไหนกันมาหรือครับ”

“บ้านพักทหาร รายละเอียดไว้รอจ่าคอนหรือจ่าทูนชี้แจงเถอะ” แก้วจ๊ะ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่พลเรือนอย่างพี่จะเป็นผู้ชี้แจงด้วย ไม่ใช่หน้าที่จึงเลี่ยงไปเปิดประตูห้องนอนผลุบเข้าไปเอนหลังบรรเทา เครียดตามที่เจ้าบ้านอนุญาต กระนั้น กลับมิอาจข่มตานอนได้ เพราะ ครู่นหาคำตอบจากคำถามซึ่ง “ฟันธง” ไม่ได้เลยหลายกรณี

ตรงนี้ ต้องขอให้แก้วช่วยวิเคราะห์อีกคนเพราะความรู้สึกบางอย่าง ฉันบอกใจตนเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น และเป็นไปได้มีเพียง ๒ ประการ หนึ่ง ฉั้นจากด้วย ป.ป.ส.ทรยศกันเอง อีกด้าน การติดต่อสื่อข่าวสารของจ่า ทูนกับจ่าทหารกองพลที่ ๙ ล่วงรู้ไปถึงผู้มีเจตนาร้ายจากคนใกล้ตัว

เหตุนี้แหละที่พี่ไม่กล้าเสนอความเห็นอันอาจก่อให้เกิดความ แตกแยกด้วยคิดอ่านเพียงผู้เดียว โอ…พี่สับสนไปหมดแล้ว

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : The People
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: