578. จอมขมังเวท ขุนพันธรักษ์ราชเดช

จากประวัติอันฉกรรจ์ที่ขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่ผ่านสายตาคุณผู้อ่านไปแล้ว อาจสงสัยว่าทำไมท่านจึงเก่งกาจนำลูกน้องผู้บังคับบัญชาเข้าเสี่ยงเป็นเสียงตายกับโจรเหี้ยมเป็นคนแรกเสมอ หรือใช้วิธีลุยเข้าแลกกับคนร้ายชนิดตัวต่อตัว แม้ผู้ร้ายคนนั้นจะมีอาคมหนังเหนียวมากปานใด ก็ไม่อาจทำอะไรขุนพันธ์ได้

ท่านสนใจศิลปะการป้องกันตัว มวยไทย กระบี่กระบองจนไปถึงวิชายูโด ได้แชมป์มาครองหลายครั้ง

ครั้นพอขึ้นมัธยมปลาย จึงเริ่มสนใจเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และไปเรียนกับท่านเจ้าคุณพระธรรมวโรดม (เป็นเจ้าอาวาสวัดราชธิวาสขณะนั้น) และหากรู้ว่ามีพระอาจารย์ที่ไหนดีก็จะไปกราบเป็นศิษย์ทันที อย่างพระอาจารย์หรุ่น ใจภารา แห่งวัดอัมวัน ราชวัตร ซึ่งขณะนั้นมีชื่อเสียงในการสักยันต์เก้ายอด และมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นมือปราบและนักเลงมากมายนอกจากนั้นยังมีครูที่เป็นฆราวาสที่สอนวิชาขมังเวทและการสักยันต์ เช่น ครูปลั่ง แห่งสำนักบางลำพู ครูใย แห่งสำนักคลองสามเสน โดยเฉพาะสีข้างของท่านขุนฯ ข้างหนึ่งเป็นหนุมารแผลงฤทธิ์อำนาจทางร่างกายเเข็งเเรงและว่องไว

ครูใยยังได้สัก ”พาลี” ไว้ตรงหน้าอก เพื่อมีฤทธิ์อำนาจราชศักดิ์ เข้าต่อกรกับศัตรูที่มีฤทธิ์เดชได้อย่างทระนง ไม่มีเพลี่ยงพล้ำ…

สังเกตเมื่อท่านขุนฯ ได้เป็นตำรวจแล้วออกปราบพวกเหล่าร้าย หลายครั้งที่ท่านใช้วิธีต่อยคู่ต่อสู้ให้ล้มลงเเล้วจับเป็น ไม่ว่าโจรคนนั้นจะตัวใหญ่สักปานใด ท่านก็ล้มได้แม้จะตัวเล็กกว่าก็ด้วยฤทธิ์อำนาจของ ”พาลี” นี่แหละ!

การที่ท่านขุนฯ เป็นคนชอบสักยันต์จึงมีเรื่องตื่นเต้นได้พบพานลองวิชาอยู่เสมอ มีพระอาจารย์สักยันต์เป็นต้องไปกราบขอเป็นศิษย์ พระอาจารย์ยัง ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมคงคาย่านสำเพ็ง ตอนที่ขุนพันธ์ไปสักนั้นพระอาจารย์ยังเข้าสู่วัยชราภาพมากเเล้วแต่ก็ยังแข็งเเรงอยู่วันที่ท่านขุนพันธ์ไปสักเขาได้พารุ่นน้องไปด้วยอีกสองคนชื่อ ”สี” และ ”วุ่น” สองคนนี้ พระอาจารย์ยังขึ้นคร่อมหลัง มือกำเหล็กแหลมยอดมงกุฏ ยาวเกือบศอกทิ่มลงไปตรงสะโพกเสียงดัง ปึก ปึก ปึก ๆ ๆ ๆ ๆ

เท่านั้นแหละ…สักให้คนไหนต่างพากันร้องลั่นเป็นควายถูกเชือด ดิ้นทุรนทุราย จนพระอาจารย์ยังต้องถามออกมา

”อุวะ!…ใจปลาซิวยังริเป็นนักเลง โดนเเค่นี้ร้องจะเป็นจะตาย…มึงไปเจอคมหอกคมดาบจะไหวรึ!”

เล่นเอาคนถูกสักเงียบเสียงไปเยอะ ส่วนตัวขุนพันธ์คงนั่งดูการสักของพระอาจารย์ยังต่อไป และส่งเสียงถามพระอาจารย์อยู่บ่อยๆ ถึงข้อสงสัย เพราะท่านขุนฯ ต้องการสุดยอดการสักยันต์”สักพวกบัวเเก้ว ลิงลม หมู…พวกนี้มีฤทธิ์อำนาจหลายอย่าง เป็นทั้งสิริมงคลและอยู่ยงคงกระพัน” พระอาจารย์ยังบอกให้ทราบ

ขุนพันธ์นั่งตรองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะบอกกับอาจารย์ไปว่า ตนขอสักบัวเเก้วและหมูพร้อมกัน

”มันจะไหวหรือ…เจ็บมากนะมึง!” พระอาจารย์เเย้งมา

”ไหวครับ” ขุนพันธ์ยืนยัน

พระอาจารย์สักขึ้นแบบให้นายสี และวุ่นเสร็จ ก็พยักหน้าเรียกท่านขุนเข้าไป…ปึก…ปลายแหลมของเข็มสักลงบนผิวของขุนพันธ์…เงียบไม่มีเสียงร้องสักเเอะ จากนั้นพระอาจารย์บรรจงสักขึ้นแบบไว้อย่างถี่ยิบแต่น้ำหนักมือคงที่ ท่านขุนก็ยังคงวางสีหน้าเฉย

”เออ…กูเพิ่งจะเจอคนจริงก็วันนี้แหละ!” พระอาจารย์ยังกล่าวขึ้นหลังดูพฤติกรรมท่านขุนฯ อยู่พักหนึ่ง

การสักยันต์ต้องใช้เวลาหลายวัน ได้รูปตามต้องการเเล้วก็ต้องลงอักขระคาถาอาคม เเล้วเป็นธรรมดา เมื่อการสักเสร็จสิ้นสมบูรณ์ อาจารย์ผู้สักจะต้องลองของหรือลองวิชาให้เป็นที่ประจักษ์เเก่สายตาศิษย์ ซึ่งเรื่ีองนี้ขุนพันธ์รู้ดี

วันนั้น…การสักเสร็จสิ้น ทุกคนทำตัวตามสบาย หลวงพ่อยังเปรยขึ้นว่า หมู่นี้ไม่ได้รำพลอง จึงลุกขึ้นไปหยิบไม้พลองข้างตู้ออกมาร่ายรำอยู่อึดใจ…แล้วสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นพระอาจารย์ร้อง ”ว้าก” แบบงิ้ว แล้วหวดไม้พลองลงบนหัวลูกศิษย์คือสีเเละวุ่นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนสลบเหมือดคาที่

ไม้พลองในมืออาจารย์ยังไม่หยุดเเค่นั้น ฟาดปาดมายังขุนพันธ์ที่นั่งอยู่ริมบันไดกุฏิ ซึ่งเขาเตรียมตัวอยู่เเล้ว แอบถอดสลักลิ่มประตูก่อนลงสู่บันไดอิฐและพื้นซีเมนต์ข้างล่าง พอไม้พลองป่ายมายังตน ขุนพันธ์เปิดประตูผางออกกระโดดลงสู่พื้นล่างทันที โกยแน่บออกจากวัดตัดเข้าสู่ตลาดสำเพ็งมีพระอาจารย์ยังตามติดอย่างกระชั้นแต่พอเข้าเขตชุมชนพระอาจารย์ยังหยุดไล่กวด คงเพราะเกิดความอายที่ตนเป็นพระสงฆ์องคเจ้าถือไม้พลองไล่กวดคนเช่นนี้ไม่เหมาะสมเท่าไรนัก

ส่วนท่านขุนฯ ตั่งเเต่นั้นมาไม่เข้าไปเหยียบวัดปทุมคงคาอีกเลย แม้พระอาจารย์ยังฝากบอกสีกับวุ่น ให้ขุนพันธ์เข้ามาเพื่อลองวิชากันอีกครั้งเเต่ท่านขุนฯ ก็นกรู้ไม่ยอมเข้ามา จนกระทั่งพระอาจารย์ยังมรณภาพ…

ความชื่นชอบเรื่องไสยศาสตร์ของขุนพันธรักษ์ราชเดชมีอยู่มาก แม้เป็นตำรวจมือปราบก็ใฝ่หากราบครูบาอาจารย์ต่างๆ อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องตามจับนายกลับ คำทอง แมวขโมยหายตัวได้ ขุนพันธ์ตามจับอย่างไรก็จับไม่ได้ จึงไปขอเเนะนำจากพระอาจารย์นำ แห่งสำนักวัดเขาอ้อว่าต้องทำเช่นไร? พระอาจารย์แนะนำว่า

”ถ้าจะจับนายกลับให้ได้ ต้องตามให้ทัน!”

ขุนพันธ์ก็ยังคงออกไล่ล่า นายกลับด้วยการวางสายไปทั่วแต่ยังจับไม่ได้อยู่ดี ขุนพันธ์จึงมานั่งคิดถึงคำของพระอาจารย์นำว่า

”ต้องตามให้ทัน!”

นั่นก็หมายความว่าต้องเรียนรู้วิชาไสยศาสตร์ให้ทันนายกลับนั่นเอง!

ขุนพันธ์จึงมาฝากตัวเรียนคาถาอาคมและพุทธาคมจากพระอาจารย์นำที่วัดเขาอ้อเพื่อเพิ่มพูนความขมังเวทของตนเอง

”เขาอ้อ” เป็นชื่อของสำนักไสยศาสตร์ที่รุ่งเรืองมาแต่โบราณ วิชาไสยศาสตร์ของเขาอ้อมีผู้ถ่ายทอดและสืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ความยิ่งใหญ่ของเขาอ้อและความเป็นหนึ่งในด้านกฤตยาคมของเกจิอาจารย์แห่งสำนักเลื่องลือกล่าวขานไปสุดปลายแผ่นดินแหลมทอง

ศิษย์เขาอ้อมีทั้งนักรบ นักปกครอง ตำรวจมือปราบ หรือแม้เเต่เสือร้ายที่อยู่ยงคงกระพัน เพราะศิษย์เขาอ้อต้องนอนแช่ว่านยาศักดิ์สิทธิ์ในรางแช่ในถ่ำฉัตทันต์ จนเนื้อตัวแก่กล้าในวิชา สามารถรับคมดาบและหัวกระสุนเหล็กกล้าได้อย่างอัศจรรย์!

จนสำนักเขาอ้อได้รับการยกย่องว่ามีวิชาเเพทย์โบราณอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในยุคที่ชาวบ้านไม่มีเเพทย์ช่วยเหลืออย่างเช่นทุกวันนี้

ครั้งที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชขึ้นไปเป็นรองผู้อำนวยการปราบเสือร้ายภาคกลาง ได้มีการใช้ยาสมุนไพรจากสูตรสำนักเขาอ้อเมื่ออยู่กลางป่าออกติดตามเหล่าร้าย ขาดเสบียงอาหารก็ได้สมุนไพรกัดกินตามผู้ร้ายได้นานเกือบเดือน โดยไม่ต้องกินข้าวเลยเเม้เเต่เม็ดเดียว

ความเจริญของสำนักเขาอ้อโด่งดังจากศิษย์ที่มีชื่อสืบเนื่องกันมาเช่น พระอาจารย์ทองเฒ่า , พระอาจารย์เอียด , หลวงพ่อนำ ชินวังโส ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์สำนักเขาอ้อที่มีความรู้เก่งกล้าสามารถด้วยไสยศาสตร์ และเเยกตัวออกไปตั้งสำนักเป็นสาขามากมายหลายสำนักในจังหวัดพัทลุง และจังหวัดอื่นของภาคใต้สำนักเขาอ้อมีหลักคุณธรรมที่ศิษย์ทุกคนต้องยึดถือที่ถือเป็นกฏเคร่งครัด

ปฏิบัติสืบมาอย่างมั่นคงและศักสิทธิ์ดังนี้

ต้องไม่เป็นผู้อวดตัวหรือโอ้อวดอ้างตน

ไม่ใช้วิชาที่รับไป เพื่อใช้ข่มเหงผู้อื่น

ให้มีความกตัญญูรู้คุณ และรักผู้อื่น

ให้มีจิตใจเมตตากรุณาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก

ให้มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ในยามที่ประเทศชาติมีภัยหรือคับขัน จะต้องยอมถวายตัวเป็นราชพลีแก่พระเจ้าแผ่นดินและประเทศชาติ

ศิษย์สำนักเขาอ้อจะต้องเป็นผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวและยึดมั่นในสัจธรรมด้วยชีวิต

ทุกคนที่ไปสู่สำนักเขาอ้อย่อมมีความเท่าเทียมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูกเจ้าเมือง นักรบ หรือลูกหลานชาวบ้านธรรมดาสามัญ เมื่ออาจารย์เจ้าของสำนักเห็นว่าเป็นคนดีท่านจะรับไว้เป็นศิษย์ของสำนัก ซึ่งศิษย์ของสำนักทุกคนจะโอกาสที่จะได้เรียนรู้ไสยศาสตร์ทุกแขนงเสมอหน้า จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ความจำเป็นอัจฉริยะในตัวตนของศิษย์นั้นๆ

อย่างที่รู้กัน…ขุนพันธรักษ์ราชเดช มีความหนังเหนียวคงกระพันชาตรีอย่างสุดๆ ก็เพราะได้เรียนรู้วิชาจากเขาอ้อและได้ทำพิธีผ่านการอาบว่านมาเเล้ว

วิธีการอาบว่านของสำนักเขาอ้อมีพิธีการมากมายเช่นการกำหนดวันมหาฤกษ์ ตลอดจนกำหนดตัวบุคคลซึ่งจะลงอาบว่าน การนำเอาบอระเพ็ดเถามาวัดรอบเท่าศีรษะของผู้ที่จะอาบและต้องกินบอระเพ็ดนั้นก่อนที่จะอาบน้ำว่านยา

และเมื่อแช่ร่างกายอยู่ในรางที่เต็มไปด้วยน้ำว่านยาเเล้วต้องขึ้นมากินข้าวเหนียวดำ ซึ่งมีการหุงด้วยกรรมวิธีมากมายหลายขั้นตอน การกินข้าวเหนียวดำนั้นถือว่าเป็นการกินยาและเป็นยาอายุวัฒนะการลงไปเเช่ในรางน้ำว่านยานั้น บางคนต้องลงไปนอนเเช่เป็นเวลาถึง 24 ชั่วโมง และบางท่านนอนเเช่ถึง 3 วัน 3 คืนก็มีมาเเล้ว

ศิษย์สำนักเขาอ้อมักนิยมการอาบว่านยา เพื่อให้เกิดการอยู่ยงคงกระพันและอิทธิฤทธิ์ของว่านยายังรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย เช่น อาการปวดตามหลัง เอว หรือปวดศีรษะ ฯลฯ

กรรมวิธีในการใช้ว่านนั้นดูจะมีความแตกต่างกันกับภาคอื่น เช่นภาคกลาง เหนือ อีสาน กลับนิยมการกินว่านหรือนำเอาว่านนั้นเป็นส่วนผสมในการทำเครื่องรางของขลัง หรือการนำว่านมาตำคั้นผสมกับตัวยาเพื่อลงอักขระเลขยันต์ตามเนื้อตัว เมื่อสักเเล้วจะเกิดการคงกระพันชาตรีไปตลอดชีวิตด้วยการที่ขุนพันธ์ได้คลุกคลีกับไสยศาสตร์อย่างมากมายแม้จะออกจากราชการและมีอายุสูงวัยเเล้ว มักจะมีผู้คนไปหาท่าน เพื่อขอเรียนวิชาขมังเวทต่างๆ บางครั้งถ้าคนนั้นมีหน่วยก้านดีก็สอนให้ไป…แต่ไม่สำเร็จสักคน…เพราะทำไม่ได้!”

เพราะไม่มีความเพียร บอกให้ไปนั่งภาวนาอย่าให้ยุงกัด จึงบอกว่ามึงจะไปจับโจรยุงมึงก็ไม่สู้… ภาวนาจนมันไม่มาเกาะแหละ….ทีเเรกมันบินมาตอมแล้วก็มาเกาะถึงเกาะก็ไม่กัดอย่างนั้นพอใช้ได้ เรียนต่อได้…ก่อนจะนอนก็สวดมนต์สักหน่อย…ให้แบบปฏิบัติถ้าปฏิบัติได้ก็มา…ไม่สำเร็จสักคน!”

(บทสัมภาษณ์ของ นพ. บัญชา พงษ์พานิช : หนังสืองานศพ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช)

ยิ่งในช่วงนี้มีผู้คนศรัทธา ”จตุคามรามเทพ” ของเมืองนครศรีธรรมราชที่แจกให้กับประชาชนที่ร่วมกันสร้างศาลหลักเมืองในปี 2530 ดังข้อความจากหนังสือจตุคามรามเทพฯ ที่ ”โกผ่อง” เขียนถึงความอัศจรรย์ที่ร่างทรงได้เขียน แล้วท้าให้เอารูปที่วาดไปให้ ”ไอ้หนวด” ดู ”เพราะไอ้หนวดมันรู้จักกู” เจ้าทรงว่าเช่นนี้…ซึ่งคณะที่ร่วมพิธีทรงเจ้าก็พอจะรู้เเล้ว ”ไอ้หนวด” นั่นหมายถึงขุนพันธรักษ์ราชเดช นั่นเอง!

วันรุ่งขึ้น…พล.ต.ท. สรรเพรช ธรรมาธิกุล และคณะ จึงพากันไปที่บ้านท่านขุน หลังจากทักทายกันเเล้วก็ถามถึงธุรกิจที่มาหาท่าน ทางคณะจึงได้ยื่นกระดาษที่มีภาพเขียนใบหน้าดวงวิญญาณในร่างทรงให้ดูพร้อมกับถามว่า ”ภาพนี้เป็นรูปใคร?”

ขุนพันธ์ฯยกขึ้นดู ถึงกับอุทานอย่างตกใจ!…ว่าได้รูปนี้มาจากไหน..และอธิบายต่อให้ทราบ ”ภาพในรูปคืออดีตกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย มีพระนามว่า จตุคามรามเทพ หรือจันทรภานุ” (โกผ่อง เขียน :จตุคามรามเทพฯ พิมพ์โดย ทศพล จังพาณิชย์กุล)

ต่อมา..องค์จตุคามรามเทพได้ลงมาประทับทรงอีก เพื่อให้สร้างศาลหลักเมืองที่ทำจากไม้ตะเคียนทอง งอกอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนคร ซึ่งองค์จตุคามบอกว่า รอมาเป็นพันปี หากไม่สร้างบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ

ด้วยเหตุนี้…เพียงใช้เวลาไม่นาน ศาลหลักเมืองได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพราะเเรงศรัทธาและความสามัคคีของชาวนครศรีธรรมราชในการสร้างศาลหลักเมือง ทางคณะกรรมการได้จัดทำวัตถุมงคลขึ้น คือ ”จตุคามรามเทพ” ไว้เเจกแก่ท่านผู้บริจารเงินร่วมทำบุญการจัดตั้งศาล ซึ่งวิธีและพิธีการทำ ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้เป็นเจ้าพิธีโดยตรง เป็นหลักในการปลุกเสกจตุคามรามเทพ นอกจากนี้ท่านขุนเจ้าพิธีกรรมหลายอย่างในการสร้างศาลหลักเมือง อาทิเช่น เผาดวงชะตาเมือง ลอยชะตาเมือง สะกดหินหลัก ปลุกพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ตอกหัวใจสมุทร ฝังหัวใจเมือง เบิกเนตรหลักเมือง เป็นต้น

ท่านขุนพันธ์ได้ล่วงรู้ รูปดวงตรามหาจักรวาลพรหม อันเป็นตราประจำองค์ราชันดำจตุคามรามเทพ ทำการบวงสรวงขออณุญาตใช้ดวงตราศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงประกอบพิธีกรรมปลุกเสกกลาง ทุ่งนา ปลุกเสกกลางทะเลลึก และปลุกเสกบนภูเขาขุนพนม

นี่เป็นเบื้องต้นที่ขุนพันธรักษ์ราชเดช ผู้มากด้วยอาคมเข้าร่วมปลุกเสก ”จตุคามรามเทพ” เป็นรุ่นที่โด่งดังสุดสุด บังเกิดโชคลาภและป้องกันอันตรายแก่ผู้ที่บูชาเอาไปใช้ทั้งหลาย
และดูเหมือนเป็นพิธีกรรมรุ่นสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตของมือปราบหนังเหนียวฝากไว้บนแผ่นดินไทยภาคใต้!!

สำหรับตอนนี้ขอมอบ พระคาถาพระยาราชสีห์
พุทธะเสฎโฐ มหานาถัง วัณณะโก สิงหะนาทะกัง พุทธะสิระลาเตเชนะ มาระเสนา ปะราเชยยัง ชัยยะภะวันตุเม ฯ

พระคาถาพระยาราชสีห์นี้ ถ้าจะเข้าหาขุนนางท้าวพระยาทั้งปวง หรือจะไปประจัญด้วยศัตรูก็ดี ให้เสกเมียงหมากอมไปเสกแป้งน้ำมันทาตัว มีชัยชนะดีนักแล

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: