962. ตำนานดาบแดงหรือดาบเหล็กน้ำพี้ขุนพันธ์

ประการแรก ดาบเล่มนี้เป็นของพระยาพิชัยหรือไม่

ประการที่สองเป็นดาบคู่ที่ใช้รบ หรือดาบเดี่ยวที่ใช้ถือ

ประการที่สาม ใครเป็นผู้ปลุกเสกและลงอาคมในดาบ

ประการที่สี่ ท่านขุนพันธ์ ท่านได้รับดาบเล่มนี้มาจากใคร และมีจำนวน กี่เล่มกันแน่

และประการสุดท้าย เจาะลึกเรื่องเหล็กน้ำพี้ มีพลังอำนาจเร้นลับ ในการนำมาสร้างดาบ อย่างไรบ้าง

ที่มาของการเรียก ดาบเหล็กน้ำพี้นี้ว่าดาบแดง มาจากการที่ท่านขุนพันธ์เห็นว่าดาบเหล็กน้ำพี้ เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ จึงนำผ้าแดง มาเย็บเป็นถุง หรือซองผ้า สวมทับดาบ ไว้อีกชั้น

หากไม่จำเป็นท่านก็จะไม่นำดาบออกมาจากซองผ้าสีแดง อีกทั้งเป็นการป้องกันสิ่งสกปรก ที่ไม่ควรให้เกิดแก่ดาบอาคม ซึ่งท่านอาจจะเผลอเรอ นำไปวางไว้ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่ตั้งใจ

สาเหตุที่ใช้ผ้าสีแดงนั้น มีผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่า หากเราต้องการเพิ่มความเข้มขลัง ให้กับเครื่องรางของขลัง

ตามตำรา ในอาถรรพเวท ของอินเดียโบราณจะใช้ผ้าสีแดงเป็นหลัก อาจจะใช้สีขาวบ้าง สุดแท้แต่ว่าเครื่องราง ของขลังนั้นจะเป็นอะไร เราจะเห็นว่า แม้แต่ผ้ายันต์ หรือเสื้อยันต์ก็นิยม ใช้ผ้าสีแดง

สำหรับผ้าสีเหลือง ที่นิยมนำมาใช้ในตอนหลังนั้น น่าจะมาจาก ความเชื่อตามคตินิยม ของชาวพุทธที่ว่าสีเหลือง เป็นสีของธงชัยพระอรหันต์

สำหรับประเด็นแรกที่ว่า ดาบแดงนี้ เป็นดาบ ของพระยาพิชัยดาบหักหรือไม่ ..เรื่องนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า จากข้อมูลที่ตรงกัน ท่านขุนพันธ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับบุคคลหลายท่านว่า ดาบนี้ เป็นดาบ ที่ท่านได้รับมาจาก หลวงกล้า กลางณรงค์ ที่เดินทางมารับราชการที่พิจิตร ในสมัยเดียวกับท่านขุนพันธ์

โดยท่านขุนพันธ์ ได้ฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมกับหลวงกล้า กลางณรงค์

ก่อนที่หลวงกล้า ท่านจะมอบดาบแดง หรือดาบเหล็กน้ำพี้ ซึ่งเป็นดาบประจำตระกูล เล่มนี้ ให้กับท่านขุนพันธ์ไว้เป็นที่ระลึก

ซึ่งตามธรรมเนียมโบราณหากใครเป็นลูกบุญธรรม ผู้เป็นพ่อก็จะมอบของสำคัญของตน ตามความเหมาะสม ของฐานะ ของผู้ให้ และผู้รับ

และจากการสืบข้อมูล หลวงกล้า กลางณรงค์ผู้นี้ ท่านเป็นผู้สืบเชื้อสาย มาจากต้นตระกูล ของพระยาพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรรดิตถ์

โดยมีตระกูลเดิมว่า วิชัยขันทคะ

ซึ่งเป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่6 ที่พระราชทานให้กับ ผู้ที่สืบเชื้อสาย ของพระยาพิชัย

หากเป็นดังนี้จริง ดาบแดงก็น่าจะเป็นดาบของพระยาพิชัยดาบหัก แน่นอน

ประเด็นที่สอง ที่ว่า ดาบแดงเป็นดาบคู่ หรือดาบเดี่ยว จากข้อมูลที่สืบค้นจากจังหวัดพิจิตร และมีบุคคลยืนยันว่าดาบแดงเล่มนี้ เป็นดาบเหล็กน้ำพี้จริง แต่เป็นดาบเดี่ยว หรือดาบเล่มเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ดาบคู่ อย่างที่เข้าใจกัน

ดาบเหล็กน้ำพี้ของแท้นั้นจะไม่เป็นสนิมง่าย และถ้าจะให้ดี ต้องใช้ดาบสะกิด ดื่มเลือดผู้ที่เป็นเจ้าของก่อน เป็นเคล็ดที่ทำให้ดาบ มีความเข้มขลัง เมื่อออกศึกมามากเท่าใด ก็จะทำให้สีของดาบ มีสีเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น เป็นสีเขียวคล้ำ คมวาว เป็นสีน้ำตาลอมดำฝังแน่น บาง ทีเรียกว่าสีปีกแมลงทับ

ใครที่จับดาบน้ำพี้แล้ว จะฮึกเหิม อยากจะใช้งาน หรือออกศึกเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากแม้แต่ นักรบของอยุธยาก็ยังใฝ่หาดาบที่สร้างจากเหล็กน้ำพี้ เพราะไม่เพียงใช้เป็นอาวุธ ยังสามารถ ใช้เป็นเครื่องรางได้ด้วย

หากเวลา มีภัย มาถึงตัว ดาบจะสั่น หรือบางทีขยับ เลื่อนออกจากฝัก บอกให้เจ้าของรู้ตัว การตีดาบ ต้องกระทำกลางแจ้ง และเนื่องจากอณูมวลสาร ของดาบเหล็กน้ำพี้โดยธรรมชาติ จะขยับหนี หรือแยกตัวออกในขณะที่โดนความร้อน ดังนั้นผู้ตีดาบ จึงต้องมีคาถาอาคมกำกับ มิฉะนั้นจะตีดาบ ทำดาบไม่สำเร็จ

ประการสำคัญบ้างก็ว่าดาบเหล็กน้ำพี้ของพ่อหลิม หรือเสือไท ได้มอบให้แก่ลูกศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งไปแล้ว แต่จะเป็นท่านขุนพันธ์หรือไม่ไม่มีใครทราบ

จึงทำให้ยังไม่แน่ใจด้วยว่าดาบของท่านขุนพันธ์นี้เป็นของหลวงกล้ากลางณรงค์ หรือ พ่อหลิมอาจารญของท่านขุนพันธ์กันแน่

และประการสุดท้าย ใครเป็นผู้ปลุกเสกดาบลงอาคมให้ท่านขุนพันธ์ ในสมัยที่อยู่ที่จังหวัดพิจิตร หลวงตาแวว ลูกศิษ์ ก้นกุฎิ ของหลวงปู่ศุข ท่านเป็นผู้ปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ ให้แด่ท่านขุนพันธ์

แต่คุณฉันทิพย์ ลูกชายของท่านขุนพันธ์ ได้เล่าไว้ว่า สมัยที่ท่านขุนพันธ์ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเล่าไว้ว่า ท่านผู้ที่ปลุกเสกดาบให้ท่านขุนพันธ์ คือ พระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ดาบเหล็กน้ำพี้ ซึ่ง เข้าใจว่าน่าจะเป็นดาบของพระยาพิชัยนี้ ก็จะได้ผ่านการปลุกเสกมาถึงสองครั้ง จากสองเกจิอาจารย์ ผู้เป็นลูกศิษย์ ของหลวงปู่ศุขดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งไม่ใช่การปลุกเสกของหลวงปู่ศุขเองแน่นอน เพราะท่านได้มรณะภาพไปก่อน นานแล้ว..

ท่านขุนพันธ์ เรียกวิญญาณ มาจับโจร

ท่านขุนพันธ์ ท่านได้เคยให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ ไว้อย่างชัดเจนว่าปาฎิหารย์มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เรื่องล่องหนหายตัว เป็นเรื่องที่มีผู้ที่กระทำได้จริง

ซึ่งคำพูดของท่านขุนพันธ์ อาจทำให้ผู้บังคับบัญชา รวมทั้งตำรวจสมัยใหม่ หลายๆคนเกิดความสับสน ไม่แน่ใจ

แต่ทุกครั้ง ที่มีคนถามเรื่องนี้ ท่านขุนพันธ์ ก็จะยืนยันทุกครั้ง ว่าไสยศาสตร์มีจริง หมื่นเปอร์เซ็นต์

เช่นเดียวกับการเรียกวิญญาณคนตาย หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่าวิชาหมอผี ก็เป็นเรื่องจริง ที่ท่านขุนพันธ์ได้ใช้ วิชานี้ ในการจับโจรมาหลายต่อหลายครั้ง

จนถึงขนาดว่ามีลูกน้องใต้บังคับบัญชา พากันเรียก และขนานนามท่านว่า ขุนพันธ์ หมอผี

ท่านขุนพันธ์ จึงเป็นจึงเป็นนักไสยศาสตร์ครบเครื่องเพราะไม่เพียงแต่จะอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียว กระดูกดี แต่ท่านยังรอบรู้วิชาโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์แบบอื่นๆอีกด้วย

มองไปชีวิตของท่านขุนพันธ์ก็ดูจะไม่ต่างไปจากชีวิตของ ขุนแผน เพราะสามารถทำอะไร ในทางไสยศาสตร์ได้สารพัด ซึ่งในตำนาน ขุนแผนก็เคยใช้วิชา โหงพราย -ผีพราย ในการรบทัพจับศึกที่ได้ผลมาแล้วเช่นกัน

และที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของการใช้วิญญาณ มาช่วยจับโจรผู้ร้าย ที่ขุนพันธ์ท่านเคยทำมาแล้วจริงๆ

ในปีพ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งเป็นช่วงต้นๆ ของสงครามโลกครั้งที่๒ ท่านขุนพันธ์ ท่านย้ายจากพัทลุง ไปดำรงค์ตำแหน่ง รองผู้บังคับกองตำรวภููธร ที่จังหวัดสุราษร์ธานี

และที่นี่เองเป็นที่ๆเกิดเหตุของเรื่องราว มีคดีสำคัญเกิดขึ้น เสือสาย โจรร้ายภาคกลาง ที่อพยพมาจาก จังหวัดปทุม พร้อมกับพรรคพวก ราวๆประมาณ ๓๐ ครอบครัว มาตั้งรกรากอยู่ที่ หมู่บ้านบางใบไม้ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โดยเสือสายเป็นผู้ที่มีวิชาไสยศาสตร์พอตัว หลายๆคนเล่าลือกันว่าเป็นไสยศาสตร์ของชาวมอญ

เสือสายเป็นผู้ที่มีจิตใจเหี้ยมโหด ไม่เกรงกลัว ต่อกฏหมาย ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นกลุ่มโจรที่มาอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นจำนวนมาก ทำให้เสือสาย สามารถแผ่อิทธิพลได้มาก และไม่เกรงกลัวใคร

ความเหิมเกริมของเสือสาย ถึงขั้นลงมือ ฆ่าตำรวจผู้เเป็นลูกน้องของท่านขุนพันธ์ ที่มีชื่อว่า พลฯ สังวรณ์ถึงแก่ความตาย ขณะนำหมายศาลไปส่งให้กับเมีย ของเสือสาย

เรื่องนี้ สร้างสร้างความโกรธแค้นให้กับขุนพันธ์เป็นอย่างมาก ถึงกับออกตามล่าเสือสายด้วยตนเอง และสาบานว่าจะต้องนำตัวเสือสาย มาลงโทษให้ได้

การฆ่าตำรวจตายนั้น เกิดจากเสือสาย เข้าใจผิดคิดว่าตำรวจท่านนั้น เป็นท่านขุนพันธ์ เขาจึงจ้วงแทงไม่นับ กะให้ตายคามือ โดยกระหน่ำแทงนับสิบแผล

หลังจากนั้นเมื่อทราบว่าตำรวจที่ถูกฆ่าตายนั้นไม่ใช่ ท่านขุนพันธ์ อย่างที่เข้าใจ เสือสายก็หนีไปหลบซ่อนตัวที่อื่น

แต่ยังไม่วายปากดี ท้าทายให้ท่านขุนพันธ์ ตามไปจับ โดยประกาศว่าหากเจอตัวขุนพันธ์เมื่อใด จะใช้ขวานประจำตัว ทุบศีรษะ ให้ตายคามือ

คำท้าทายนี้ยิ่งสร้างความโกรธแค้น ให้กับขุนพันธ์เป็นทวีคูณ

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงตัดสินใจ ใช้เคล็ดวิชา เรียกวิญญาณผีตายโหง มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นครั้งแรก

โดยท่านขุนพันธ์ ได้ประกอบพิธีเรียกวิญาณของพลฯสังวรณ์ ผู้ที่ถูกเสือสาย ฆ่าตาย ให้มาร่วมตามล่าเสือสายด้วยกัน

เพราะท่านรู้เคล็ดลับวิชา ในการเรียกผีตายโหง ซึ่งเป็นวิญญาณที่ตายก่อนอายุขัย ย่อมมีความแค้น และเสียดายชีวิต ของตนเอง ที่ไม่มีโอกาส ไปผุดไปเกิดได้ทันที และต้องทนทุกทรมานอย่างมาก

ท่านขุนพันธ์เล่าว่า นอกจากจะต้องใช้เครื่องเซ่น พวกอาหารคาวหวาน ข้าวปากหม้อ และปลาเป็นตัว มาเซ่นผีตายโหงแล้ว ยังต้องใช้วิชากำกับ เรียกเชิญให้มา โดยต้องดูฤกษ์ยามด้วย

ผลของการเรียกผีตายโหงในครั้งนั้น ถึงกับทำให้ตำรวจหลายๆคน จับไข้หัวโกร๋น เพราะในขบวนตามล่าเสือสาย มีผู้พบเห็นวิญญาณของพลฯสังวรณ์ ติดตาม นำขบวนไปด้วย

ไม่ว่าจะเดินทาง ทางบก หรือทางน้ำ เดินทางทางบกก็มีคนเห็นพลฯสังวรณ์ เดินนำหน้า ไปทางเรือ ก็มีคนเห็นพลฯสังวรณ์ นั่งสงบอยู่ที่หัวเรือ เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดเวลาที่ตามล่าเสือสาย

จนในที่สุดวิญญาณของ พลฯสังวรณ์ก็ดลจิตดลใจ ให้ท่านขุนพันธ์ ได้ติดตามไปจนพบเสือสาย เกิดการต่อสู้ และสามารถจับเสือสายได้ ในสภาพบอบช้ำ จากการต่อสู้

จนเสือสายถึงกับเป็นไข้ แต่ด้วยความใจเด็ด เสือสายไม่เคยจะร้องโอดโอย หรือแสดงความเจ็บปวดใดๆเลย และได้เสียชีวิต ในเวลาต่อมาภายหลังจากท่านขุนพันธ์ส่งตัวเสือสายเข้าห้องขังแล้ว ไม่นาน

ท่านขุนพันธ์ ได้นำกระโหลกของเสือสาย มาทำ ที่เขี่ยบุหรี่ ซึ่งอาจจะเป็นความแค้นไม่หาย ที่เสือสายบังอาจมาฆ่าตำรวจ

หรืออาจจะเป็นเคล็ดลับ สะกดวิญญาณของเสือสาย โจรร้ายที่มีวิชาไสยศาสตร์ ของมอญก็อาจจะเป็นได้

ท่านขุนพันธ์ ได้เคยเขียนถึงเรื่องการเรียกผีหรือวิญญาณ ไว้ในหนังสือความเชื่อทางไสยศาสตร์ ของชาวปักษ์ใต้ ตีพิมฑ์ในหนังสือวิชชาของวิทยาลัยครูพระนครศรีธรรมราชว่าการเรียกผี ต่างจากการทรงเจ้า

โดยการทรงเจ้าเป็นการทำพิธี เพื่อเชิญมาด้วยความเคารพ

แต่การเรียกผี เป็นการใช้อำนาจ เพื่อเรียกผีมาใช้ ทำตามคำสั่ง หรือเรียกวิญญาณ มาสอบถามเรื่องราวที่อยากรู้

ท่านขุนพันธ์ ยังได้เล่าถึงผีนางไม้บางชนิด เช่นผีนางตะเคียน ผีนางตานี และผีนางประดู่ว่า ผีนางตะเคียนมีจริง แต่มีอยู่ในต้นตะเคียน บางต้น

ผีนางตะเคียน มีรูปร่างผิวกายค่อนข้างคล้ำ หรือมีผิวสองสี ดุมาก

ผีนางประดู่ มีผิวขาวเหลือง ใจดี

ในขณะที่ผีนางตานี มีความสวยงาม และใครก็ตามที่ได้ร่วมประเวณี กับผีเหล่านี้ จะขาดใจตาย กลายเป็นผัวผีทันที

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : เรื่องเล่าชาวสยาม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: